วันหยุดช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สามีชวนไปเที่ยวชมสถานที่ ๆ น่าสนใจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก เราขับรถไปถึงที่นั่นระยะทางเพียง 25 ไมล์เท่านั้นเอง อย่างไม่น่าเชื่อ....ในเมือง Cape Girardeau จะยังมีร่องรอยประวัติศาสตร์หลงเหลือไว้ให้ได้ชื่นชม และยังทำให้ได้มีโอกาสเห็นภาพการดำเนินชีวิตของผู้คนในอดีตและความรุ่งเรืองเมื่อ 200 กว่าปีก่อน
ที่นี่ Bollinger Mill State Historic Site เป็นโรงสีที่ใช้พลังน้ำเดินเครื่อง อายุกว่า 200 ปี สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่สูงสี่ชั้น สร้างด้วย หินปูนและอิฐ ยื่นล้ำลงไปในแม่น้ำ Whitewater สร้างโดย George Frederick Bollinger มีประวัติเล่าว่าหลังจากที่เขาได้รับที่ดินที่สเปนมอบให้ในปี 1800 เขาได้นำกลุ่มครอบครัวหลายกลุ่มอพยพจาก North Carolina มาที่นี่ และเริ่มการสร้างโรงสีและเขื่อนด้วยท่อนซุง (Logs) บนแม่น้ำ Whitewater และสำเร็จอย่างรวดเร็วในปี 1820 พร้อมกับถนนเชื่อมต่อรอบ ๆ ชุมชน เขาจึงกลายเป็นที่รู้จักของผู้คน และผลักดันให้เขาเดินเข้าสู่ถนนการเมือง ในฐานะ Senator รุ่นแรกของรัฐมิสซูรี่
ต่อมาในปี 1825 โรงสีและเขื่อนถูกสร้างใหม่โดยใช้หินปูน (Limestone) เป็นฐาน (ที่เห็นในปัจจุบัน) ในช่วงสงครามกลางเมือง (Civil War) กองกำลังสหพันธ์ได้เผาโรงสีเพื่อป้องกันไม่ให้แป้งและอาหารตกอยู่ในมือกลุ่มกบฏ เฉพาะฐานที่สร้างด้วยหินปูนเท่านั้นที่เหลือให้เห็น
ความหนาของผนังหินปูนประมาณ 1 ฟุต |
หลังจากที่สงครามกลางเมืองสงบ ครอบครัวนี้ได้ขายโรงสีพร้อมที่ดิน 640 เอเคอร์ ให้แก่ Solomon R. Burford ซึ่งเขาได้สร้างโรงสีใหม่ด้วย อิฐ (Brick) บนฐานหินปูนเดิม (Limestone) และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เปลี่ยนจากระบบ Water wheel มาเป็นแบบ Water-driven turbine เสร็จสมบูรณ์ใน 1867 และเป็นโรงสีสี่ชั้นที่เห็นในปัจจุบัน และชื่อย่อของ R. Burford ยังคงปรากฏอยู่บนผนังด้านในประตูหน้า
เมื่อเดินเข้าไปภายในชั้นที่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ทักทายตามธรรมเนียม แล้วก็ปล่อยพวกเราตามอัธยาศัย เราถ่ายรูปทุกซอกทุกมุม แทบจะไม่ได้อ่าน (เหมือนเคย) คนที่อ่านคือสามี อ่านเสร็จก็บรรยายให้เราฟัง.... ชั้นนี้เป็นที่สำหรับติดตั้งเครื่องจักร-อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตอาหารและแป้ง จากข้าวโพด/ ข้าวสาลี ได้แก่ เครื่องแยก (Separators) เครื่องขัด (Scourers) โม่ขนาดมหึมา (Millstone) เครื่องร่อน (Bolters) เครื่องทำความสะอาด (Purifiers) เครื่องปัดรำ (Bran dusters) สายพาน (Conveyors) และ รางลำเลียง (Chutes) เครื่องชั่งขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ฯลฯ
ที่ชั้นล่างสุด (Understory) เป็นแหล่งที่ให้กำเนิดพลังงานจากน้ำ โดยปล่อยให้กระแสน้ำไหลจากเขื่อนผ่านเข้าประตูน้ำแคบ ๆ และไหลผ่านเสาหินปูนขนาดใหญ่สี่ต้น ทำให้เกิดการเบี่ยงของกระแสน้ำและมีพลังเพิ่มขึ้นจนสามารถหมุน Turbine ยักษ์ที่ติดอยู่กับแกนเพลา ที่หย่อนลงมาจากชั้นบนจุ่มอยู่ในน้ำ พลังงานกลจะถูกส่งผ่านเฟืองเกียร์ไปที่เพลาแนวนอนที่ชั้นบน
เทอร์ไบน์ยักษ์ |
ชุดส่งกำลัง ที่ติดตั้งอยู่ชั้นแรก |
ที่ปลายสุดด้านซ้ายของเพลาจะมีสายพานเชื่อมต่อกับลูกรอก ซึ่งจะเหมือนกับชุดที่ติดตั้งบนชั้นที่สาม ซึ่งเป็นชุดที่ส่งกำลังไปแกนเพลาที่ชั้นสี่ ลูกรอกที่ชั้นแรกและชั้นที่สามจะเป็นตัวขับเคลื่อนสายพานของเครื่องจักร ส่วนแกนเพลาที่ชั้นสี่จะเป็นตัวจัดกำลังให้แก่ลิฟท์หลาย ๆ ตัว
แต่ละ Station จะมีคำอธิบายการทำงาน และลำดับขั้นตอน เพื่อให้ผู้เยี่ยมชม เข้าใจและเห็นภาพอุตสาหกรรมการผลิตแป้ง และอาหาร ในศตวรรษที่ 19 จนถึง ต้นศตวรรษที่ 20 ได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
โม่หิน |
เครื่องบรรจุอัตโนมัติ
|
ขณะที่ ดูไป....ถ่ายรูปไป...ก็จินตนาการไป ประหนึ่งว่าได้หลุดเข้าไปหญิงสาวในศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว ...ภายในชั้นแรก หรือชั้นที่หนึ่งนี้ยังจัดแบ่งที่ส่วนหนึ่งเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์สมัยโบราณ และมีสินค้าที่ระลึกจัดจำหน่าย มีเจ้าหน้าที่ประจำหนึ่งคนคอยดูแลผู้มาเยือน
สินค้าที่ระลึก ผ้าฝ้ายพิมพ์ที่สาว ๆ สมัยนั้นใช้ตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม-หมากฮอสทำจากแกนข้าวโพด |
ซ้าย แม่น้ำ Whitewater ขวา Burford Covered Bridge |
ออกจากชมโรงสีพลังน้ำ เราก็ไปเดินเล่นบนสะพานไม้ ใกล้ ๆ ที่ชื่อว่า Burford Covered Bridge สร้างข้ามแม่น้ำ Whitewater ในแบบมีผนังปิดทึบทั้งสองด้านและมีหลังคาครอบมิชิดตลอดความยาว 140 ฟุต สร้างขึ้นในปี 1858 เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดจากหนึ่งในสี่แห่งของรัฐมิสซูรี่ที่ยังคงเหลืออยู่ มีประวัติความเป็นมายาวนาน และได้รับการขึ้นทะเบียนประวัติเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เช่นเดียวกับ Bollinger Mill State Historic Site
Burford Covered Bridge |
ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอกันจนเป็นที่พอใจ และก็เหนื่อยแล้ว หิวด้วยได้เวลากินมื้อเที่ยงจาก “ตะกร้าปิกนิก” ที่เตรียมไป…..วันนี้ กินแซนด์วิช เหมือนเคย แต่ข้างในเปลี่ยนเป็น ทูน่า ไข่ต้ม ผสม “แตงดองข้ามภพ” อื้ม! อาหร่อย ยังมี Potato chips แสนเค็ม และ มีโค้กกับน้ำอีกคนละขวด “ซ่าส์ถึงใจ” (ชอบมว๊ากโค้กเมกา)...กินกันไป คุยกันไป และเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติแท้ ๆ ใต้เงาไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นเขียวขจี ฟังเสียงน้ำตกซ่า ๆ ที่ตกจากเขื่อน เสียงนกร้องเพลง แข่งกับเสียงหรีดระงมของจักจั่น ผีเสื้อที่โผผิน บินหาน้ำหวานจากดอกไม้ป่าริมแม่น้ำ บางตัวก็บินฉวัดเฉวียนเหนือหัวเรา มันคงได้กลิ่นหอม!!!!
รัฐมิสซูรี่ได้จัดพื้นที่ในบริเวณ Bollinger Mill State Historic Site ให้เป็นสถานที่พักผ่อนของประชานชน สามารถหิ้วตะกร้าปิกนิกไปรับประทานอาหารกับครอบครัว เพื่อน ๆ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดไว้ให้ได้แก่ โต๊ะรับประทานอาหาร ห้องน้ำ น้ำใช้และน้ำดื่มจากก๊อก ถ้าอิ่มแล้วยังไม่อยากกลับ ก็มีกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการสำรวจป่า หรือนักเดินป่า มีทางเดินเท้าระยะสั้นๆ เลาะไปตามริมแม่น้ำ ไปจนถึงสุสานของตระกูล Bollinger Family แต่วันนั้นเราสองคนหมดแรงเสียก่อน.....คนสูงวัย เที่ยวไม่ได้นาน คิดถึงโซฟา....ที่บ้าน
ภาพด้านหน้า (ด้านขวามือ คือ Burford Covered Bridge) |
Bollinger Mill State Historic Site ตั้งอยู่ที่ Burfordville, Cape Girardeau, Missouri ห่างออกไป 19 ไมล์ ทางด้านทิศตะวันตกของ Cape Girardeau ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และบูรณะให้อยู่ในสภาพดีเพื่ออนุชนรุ่นหลังได้แลเห็นวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในศตวรรษที่ 19 ถ้าใครได้มีโอกาสไปเยือนรัฐมิสซูรี่ และชื่นชอบที่จะเที่ยวชมโบราณสถาน อย่าพลาดที่นี่เด็ดขาด!