Friday, October 30, 2015


My neighbors are enjoying playing slide on the first snow that fall in winter 2015

I recorded this video from a window 30 meters away from them.
Later day, I couldn't resist the need of such playing. Just joined them.

I will never play like this again because I have to stay in Thailand for the winter every year.



Tuesday, October 27, 2015

ใบไม้ร่วงที่ Trail of Tears

ผ่านไปแล้ว 3 ฤดูที่อเมริกา จาก Winter, Spring, Summer และในที่สุด ฤดูที่เฝ้ารอคอยก็มาถึง...Autumn ฤดูที่ใบไม้เปลี่ยนสี ป่าทั้งป่ากลายเป็นสีโทนอบอุ่น สดใส งดงาม ตระการตา บรรยากาศสุดแสนโรแมนติก อากาศกำลังเย็น สบาย ๆ... Trail of Tears ในฤดูใบไม้ร่วง ช่างงดงามปานแดนวิมาน...ถนนแคบ ๆ ที่ทอดยาวนำเราไปยังจุดหมายนั้น ถูกขนาบด้วยต้นไม้สูง ๆ ที่ใบเปลี่ยนจากสีเขียว กลายเป็นโทนสีอุ่น ไล่เฉดจาก เขียวเหลือง เหลืองอ่อน เหลืองแก่ ส้มอ่อน ส้ม ส้มแก่ แดงสด แสด แดงเข้ม น้ำตาลแดง และน้ำตาล...ต้นไม้บางต้นกลายเป็นสีเหลืองอร่ามทั้งต้น บางต้นกลายเป็นสีส้มสว่างสดใส บางต้นกลายเป็นสีแดงสด แต่บางต้น เช่น เมเปิ้ลบางชนิดจะค่อย ๆเปลี่ยนสีไล่ระดับจากยอดลงมาพุ่มล่าง ราวกับเป็นผลงานของจิตรกรเอก ที่บรรจงราดเหลืองลงบนใบพุ่มไม้สีเขียว ทับอีกชั้นด้วยสีส้มอมเหลือง และทับอีกชั้นด้วยสีส้มแก่ ราดสีแดงลงบนชั้นบนสุด....โอ...สุดจะพรรณนา



คนอเมริกันจะเรียกฤดูใบไม้ร่วงว่า Fall ส่วนคนในยุโรป จะเรียกว่า Autumn คนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษแบบ British English ก็จะคุ้นเคยกับ Autumn และมาดามก็รู้สึกว่า คำนี้มันมีมนต์มากกว่า Fall หละ...ฤดูใบไม้ร่วงในอเมริกาปีนี้ 2015 จะเริ่มตั้งแต่ 23 กันยายน ไปจนถึง 22 ธันวาคม และ ในวันที่ 30 ตุลาคม จะเป็นวันที่ต้องหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ทำให้เวลาต่างกับเมืองไทย จาก 12 ชั่วโมง กลายเป็น 13 ชั่วโมง


หลังจากได้ กรีนการ์ด 2 ปี สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อกลางเดือนตุลาคมปีนี้ วันที่ผ่านมาอาทิตย์มาดามก็คิดอยากจะฝึกขับรถเพื่อทำใบขับขี่ วันเสาร์จึงบอกคีธว่าช่วยสอนหน่อย เค้าก็หัวเราะชอบใจ ใจ “เอาเลยที่รัก วันอาทิตย์นี้เลยนะ และเราจะไปดูใบไม้ร่วงที่ เทรลออฟเทียร์ด้วย”   เค้าถามว่าอยากขับจากบ้านไปเลยมั๊ย...มาดามยังไม่กล้าหรอก แถวนี้รถพลุกพล่าน ยังไม่อยากเคลมประกันตั้งแต่วันแรก...เค้าเลยขับไปแถวใกล้ ๆ State Park จอดหน้าโรงงาน P&G แล้วให้มาดามเริ่มขับไปจากตรงนั้น


หลังจากที่อธิบายการใช้งานเกียร์ออโต้คันโยกที่มันงอกออกมาตรงด้านขวาของพวงมาลัยแล้ว ก็ลองโยกดูก่อนว่า จะดึง หรือ จะดัน กันแน่ มันแปลก ๆ เหมือนคันโยกไฟเลี้ยวรถที่เมืองไทย...ที่นั่งมันไกลเกิน ต้องเลื่อนเข้าชิดจนคางแทบจะเกยพวงมาลัย...เสร็จแล้วต้องปรับพนักให้ทำมุมแคบเข้ามา..แต่รู้สึกว่าขามันเหยียบคันเร่งแบบได้ไม่เต็มที่ ต้องยืดได้แค่แตะ ๆ ส่วนเบรกนั้นแตะและเหยียบได้สุดพอดี...ถ้าจะขับเอาจริงเอาจัง ต้องเสริมที่นั่งด้วยเบาะจะทำให้เห็นหน้าปัดสถานะเกียร์ โดยไม่ต้องชะเง้อคอยาว...พร้อมแล้วก็ออกตัวโดยการเลี้ยวซ้ายเลย...คีธก็แปลกมนุษย์ แทนที่จะตั้งลำให้มาดามเริ่มหัดขับไปทางตรงก่อนสักระยะเพื่อให้คุ้นกับพวงมาลัย เบรก คันเร่ง แล้วค่อยเลี้ยว..ไม่อะ ตั้งต้นมันตรงแยกตัว T เลย



ถนนที่ขับไปเป็นสองเลนแบบสวนกันแคบ ๆ ถ้าขืนมัวแต่ขับดูลมชมวิว ไปไม่ทันระวังมีหวังลงข้างทาง หรือไม่ก็เสยราวสะพานแน่...รถคีธเป็นกระบะฟอร์ด พวงมาลัยซ้าย แต่ต้องขับเลนขวา เนี่ยแหละที่ทำไมถึงต้องฝึกขับ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ขับรถมาตั้ง 17 ปี...มาดามไม่เคยขับกระบะเลยในชีวิต นี่ครั้งแรก...คีธคอยบอกเมื่อจะต้องเลี้ยวซ้าย ขวา จนผ่านเข้าเขต Trail of Tears State Park เค้าก็ให้จอดเข้าซอง แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นคนขับเอง เพราะระยะทางจากตรงนี้เข้าไป คล้ายดั่งเข้าอุโมงค์แคบ ๆ ลดเลี้ยว เคี้ยวคด ลาดต่ำ และสูงชัน เพราะเป็นสันเขาที่ทอดขนานไปตามแม่น้ำ Mississippi เบื้องล่างเป็นหุบเหว...ถ้าเผื่อว่ามีใครตกลงไปไม่ต้องกลัวว่าหัวจะฟาดโขดหินเลย เพราะมันเป็นดินที่พอกไว้อย่างหนา ดินที่เกิดจากใบไม้ร่วงทับถมทุกปี...หลายล้านปี...
 

คีธขับเข้าไปในอุโมงค์แห่งสีสัน...นาน ๆ จะมีรถสวนมาสักคัน....มาดามทำหน้าที่ถ่ายวีดีโอด้วยมือถือ สลับกับ Nikon ตัวเก่ง แต่เสียดายภาพไม่ชัด เพราะโฟกัสไม่ได้ รถเคลื่อนตัวตลอด (เรื่องของเรื่องลืมปรับโหมดโฟกัสเป็น Infinity) แถมกระจกรถก็ไม่ทันจะได้ล้างให้ใสสะอาด...เราขับผ่านจุดตั้งแค้มป์ มีรถแค้มป์จอดอยู่สองสามคัน ท่ามกลางสีสันเจิดจรัส ทำให้มาดามหลุดปากออกไปว่า “ที่รักไออยากมาตั้งแค้มป์แบบนี้บ้าง” คีธก็รับลูก แต่จริง ๆ แล้วเราไม่มีรถนอนเคลื่อนที่แบบคนอื่น มันคงทุลักทุเลไม่น้อยถ้าจะมาจริง...รถแค้มป์เคลื่อนที่นั้น มีทุกสรรพสิ่งเครื่องใช้ เครื่องครัว เครื่องนอนพร้อมเตียง เครื่องอำนวยความสะดวก ทำความร้อน ความเย็น ห้องน้ำ ราวกับอยู่ที่บ้าน เพียงแต่มันแคบลงเท่านั้น ถ้าเป็นคันใหญ่ขนาดมินิบัสก็มาได้ทั้งครอบครัว เอาอยู่ แต่ถ้าคันเล็กขนาดรถตู้ก็เหมาะสำหรับคู่ผัวเมีย...คนอเมริกัน นิยมตั้งแค้มป์ เดินป่า ตกปลา ล่าสัตว์ ในวันหยุดยาว ของพวกเค้า...เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ จากบ้านไปอยู่ป่า...


เมื่อผ่านเนินขึ้นมาก็ถึงจุดชมวิวแรก มีในรถจอดอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคัน ความที่กำลังตื่นตากับทิวทัศน์รอบ ๆ ทำให้ไม่ทันสังเกตรถคันนั้น ครั้นพอเปิดประตูลงมา มาดามก็หยิบกล้องมาสองตัว ยื่นให้คีธตัวนึง “ถ่ายให้ไอด้วยนะ” รถคันนั้นกำลังเคลื่อนออกจากที่จอด พลันก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวส่งเสียงมาว่า “ใช่ ที่นี่สวยมาก ดูซิฉันก็มาถ่ายรูปที่นี่เหมือนกัน...ตรงนั้นนะ ๆ สวยมาก ๆ “ เธอลดกระจกลงและ ยกกล้องให้ดู แล้วชี้ไปไกลข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ไปยังฝั่ง อิลลิลนอยส์ โน่นเลย...มาดามก็ รับลูก บอก “ใช่ ๆ มันสวยมากจริง ๆ” แล้วเธอขับออกไป...


พอเธอลับตาไปแล้ว..ไม่มีใครอีกตรงนั้น มาดามก็ได้แต่ร้องวี๊ดวู๊ กระโดดโลดเต้นชมความงามของทิวทัศน์ตรงจุดชมวิวนี่แบบลืมอายุไปเลย...พอนึกได้ก็วิ่งถลาร่อน ถ่ายรูปตรงนั้น แล้วก็ตรงนี้ แล้วก็ตรงโน้นอีก...แล้วก็เปลี่ยนใช้มือถือถ่ายบ้างเผื่อภาพออกมาไม่ดีจะได้มีสำรอง...ไม่มีกล้องหน้าเหมือนเคย Selfie คู่กันเลยไม่ได้เรื่องอีก หัวมาดามขาด ได้แต่หัวคีธ ยิ้มหน้าบานไม่หุบ คนนี้เหมือนหุ่นยนต์โรบอท พอกล้องหันไปจับที่หน้าปุ๊บเค้าก็จะยิ้มกว้างรับปั๊บอัตโนมัติ...


คีธเข้าไปนั่งคอยในรถแล้ว แสดงว่าต้องการไปต่อ...ออกจากจุดชมวิวขับต่อไปอีกระยะก็ถึงทะเลสาบ Boutin ที่ ๆ เคยมาตกปลา บลูกิล คีธพามาดามมาที่นี่ครั้งแรกในฤดูหนาวตอนหิมะยังไม่ตก ครั้งที่สองในปลายฤดูใบไม้ผลิ...แต่วันนี้ไม่เห็นผู้คนเลยดูเงียบจริง ๆ คีธบอกว่าอากาศเริ่มเย็นแล้วคนก็เลยไม่มาเล่นน้ำ....คีธเข้าห้องน้ำ มาดามก็ถ่ายรูป แต่ว่าแสงแดดมันส่องมาทางด้านตรงข้ามของทะเลสาบทำให้ถ่ายภาพทะเลสาบจากตรงนั้นไม่ได้ มาดามให้คีธขับไปด้านทิศใต้ที่เคยจอดรถครั้งที่มาตกปลาเมื่อฤดูใบไม้ผลิ...คีธไม่ยอมลงจากรถ ปล่อยให้มาดามวิ่งไปมาถ่ายรูป วันนี้ไม่รู้เป็นไร ถ่ายรูปไม่ดีได้ดั่งใจเลย อาจเป็นเพราะรู้สึกว่ามีคนกำลังคอยอยู่ ต้องรีบ ๆ แสงเงาออกมาไม่ดี แถมความคมชัดก็หายไปกับ ความที่สายตามีทั้งสั้นและยาว โฟกัสไม่ขาด แสงแดดก็สะท้อนเข้าตา...สรุปว่ารูปไม่สวยเลยสักรูป...ทนดูเอาหน่อยละกัน


คีธขับกลับ แต่มาดามอยากไปต่อที่จุดชมวิวที่มีสะพานทอดไปที่ริมฝั่งมิสซิสซิปปี้ แต่เค้าบอกอาทิตย์หน้าค่อยไปตรงนั้น....รู้เลย ตอนนี้หิวเบียร์ อยากกลับด่วน...
  



ใบเมเปิ้ล และ ใบโอ๊ค ถึงเวลาต้อง พรากจากต้น ร่วงหล่นสู่พื้นดิน...ทิ้งไว้เพียงต้นที่ไร้ใบไปตลอดฤดูหนาว ที่กำลังจะย่างเข้ามาในชีวิตมาดามฟราย..อีกครั้ง






Friday, October 9, 2015

 เคยสักครั้งมั๊ย? ที่จู่ ๆ ก็เกิดอาการ "เซ็ง+ปลง" กับชีวิต

       อยู่มาวันหนึ่งเราก็มีอาการอย่างที่ว่า......จึงนั่งคิดว่าลองทำอะไรที่แตกต่างจากสิ่งเดิม ๆ ทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ สักครั้ง พลันสายตาเหลือบก็ไปเห็น Blog ที่แถบหัวเว็บที่เราเข้าไป "สิง" อยู่ประมาณเกือบเดือน (จริง ๆ เห็นทุกครั้งที่เข้า-ออกเว็บแหละแต่ไม่เคยสนใจ)...แต่นาทีนี้ขอคลิกเข้าไปดูลาดเลาหน่อยเถอะ.... โอ้โหเฮะ!....มีคนเข้ามาเขียนเยอะแยะเต็มไปหมด แถม โพสต์กันได้ทุกวี่ทุกวัน ๆ ละ บรรทัดสองบรรทัดก็มี หลากหลายสไตล์
  • บางคน ก็ไปก็อปเอาคำพูดดี ๆ ในเน็ท มาโพสต์ ชวนให้คิด....ได้สติสตังค์กลับคืนมาเป็นครั้งคราว...
  • บางคน เจ้าบทเจ้ากลอน ก็โพสต์กลอนทุกวันไม่มีเว้นแม้วันหยุด แม้ว่าเธอจะโชคร้ายกลายเป็นคนอยู่ในโลกมืด แต่ความคิดกลับสว่างไสว....
  • บางคน "จั่ว" หัวเรื่องชวนคลิกไปอ่าน แต่ก็น่าผิดหวังยิ่งนัก...
  • บางคน ก็เอาคำถามตั้งเป็นชื่อเรื่องเพื่อให้คนเข้าไปตอบ (อืม...ธรรมชาติของคนเนาะ ถึงตัวเองไม่มีคำตอบ แต่ก็อยากรู้ว่าคนอื่นเขาตอบไรกัน?) 
  • บางคน ก็โพสต์เอาแต่รำพึงรำพันถึงความ "รันทด"ของชีวิตตัวเอง (ชวนให้เห็นใจ) แต่บางวันเรียกร้องหาแสงแดด (คงจะหนาวน่ะ) บางวันก็เรียกร้องหาทะเล (ที่เคยอยู่แต่โดนยึดบ้านริมทะเลเอาไปขาย) บางวันเรียกร้องหาคู่..(สร้างฝันให้สาวที่อารมณ์อ่อนไหวพอเคลิ้ม ๆ)
  • บางคน คอการเมืองขนานแท้ เขียนแต่การเมือง..เขียนได้ทุกวั้น...ทุกวัน พวกคอการเมืองก็เข้ามาโพสต์คุย ทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่าง
  • บางคน ชอบสรรหาเรื่องขำขัน...มาเขียน...อ่านไปขำไป พอให้ลืมความเซ็ง.....ฯลฯ
  • บางคน เจ้า "ปรัชญา"....สวมใส่เสื้อผ้าดูดีมีระดับ แถมรูปก็งาม สาว ๆ เข้าไปอ่านและโพสต์ "ตรึม".......
            หลังจาก Survey จนเป็นที่พอใจ ก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า "ฉันน่าจะเขียนได้น่า"....แต่....ในเวลานั้นไม่มีอะไร "ในหัว" เพียงพอที่เสกสรรปั้นแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวได้เลย แต่อยากเขียน "สุดขีด"แล้วละ..... นั่งรำลึกชีวิตในอดีตอยู่นานสองสามวัน ในที่สุด "ไอ้หมาลูกแม่" ก็ดลใจ.... ใช่เลย!... ต้องเขียนเรื่องของหมาน้อยแสนรักของเรานี่แหละ ว่าแล้วก็เริ่มพิมพ์ใน Word ก่อนเพื่อจะได้แก้ไข เรียบเรียงเรื่องราวให้อ่านเข้าใจได้ง่าย ๆ.....ครั้นพอเริ่มพิมพ์ "ภาพในอดีต" ก็หลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาในหัวปานน้ำหลากจากเทือกเขา จากแรกทีเดียวจะเขียนให้จบในตอนเดียว แต่สุดท้ายต้องแบ่งออกเป็นตอน ๆได้ "7 ตอน" ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ยืดยาวเกินไป.... อะฮ้า..เจ็ดตอน...โพสต์เจ็ดวัน เข้าท่า......(แต่ในวันที่หก ได้ตัดสินใจรวบตอนที่เจ็ดรวมไว้ด้วยเลยกลายเป็น 6 ตอน.....)

         จากนั้นก็ค้นหารูปหมาน้อยแสนรักของเรา  เพื่อโพสต์ประกอบเรื่องราว (บล็อกโน้นรูปภาพจะโผล่ต่อท้ายเนื้อเรื่อง ซึ่งนั่นไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่.......(ไม่ได้อารมณ์แบบเรียลไทม์) สู้บล็อกนี้ไม่ได้.....แต่ข้อดีของบล็อกนั้นก็มีนะคือ ยังไง ๆ ก็มีสมาชิกเข้าไปอ่าน โดยไม่ต้องใช้ Google Search ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน...หากอ่านแล้วถูกอกถูกใจก็โพสต์ชมกันไป พอให้หายเหงา หายเซ็ง บล็อกเกอร์ที่นั่นมารยาทน่ารัก อบอุ่น พวกเค้าจะโพสต์ทักทาย ชื่นชม ให้กำลังใจ กันและกันทุกวัน การโพสต์ความเห็นในบล็อกของคนอื่นแบบนั้นจะทำให้ได้รับคะแนน 10 แต้ม ถ้าตัวเองโพสต์เรื่องในบล็อกตัวเอง จะได้ 30 แต้มสะสมเอาไว้ ครบ 2000 แต้มก็เอาไป Redeem คือเอาไปแลกกับการไม่ต้องจ่ายค่าสมาชิกประเภท Silver, Platinum หรือ Gold member สำหรับระยะเวลา (แค่) 1 เดือน โดยไม่ต้อง ควักเงินในกระเป๋าตัวเอง....ดีจริง ๆ เนอะ 

          
ที่สำมะคัญเหนืออื่นใด 
บล็อกที่ว่านี้ และน้องหมาแสนรัก ตัวนี้กลาย เป็น "แม่สื่อ" ทำให้เราได้พบกับ 
"ความรักครั้งสุดท้าย"......ที่นี่...

และหากคุณอยากเพิ่มโอกาสให้ตัวเองค้นหา "คนที่ใช่" ขอแนะนำเลย
 สมัครฟรี...แต่ถ้าจะให้ชัวร์...การเป็นสมาชิก Silver, Gold จะช่วยให้สมาชิกอื่น ๆ เชื่อมั่นว่าเราไม่ใช่พวกสแกม

ถ้าคุณมีความผูกพัน "กับอะไรบางสิ่ง หรือกับใครบางตัว" 
อย่าพลาด อ่าน และ แชร์ เรื่องราวกัน


คลิกอ่านเรื่องหมา ๆ ได้ที่นี่


Part 1 Have you ever lost someone in life? 

Part 2 New Mom  
Part 3 Eating Thai Salad and drink some beer.


Wednesday, September 30, 2015


Would like to be a fashionable woman? 
Do you want to be a competent and qualified office lady with a refined taste? 

If you want to have this, you are recommended to come to have a look at these trends clothing. They provide you with a great deal of latest fashion trends for women. You can choose what you desire here because clothes of diverse colors, various sizes and different styles are on sale online now.

What is the most important is that you can possess cheap fashion trends at a low price. For example, the Sexy Bare Shoulders Pure Black Sheath Dress is fashionable and sexy. If you wear it on your body, you will show your sexiness and elegance to the others. Besides, you can take a black bag on your shoulder and they will be matched with each other very well.

Here's the Trends of Workwear: 



















                                                                                
Experiencing the fashion online is also a good experience. Come on! Do some online shopping and take the fashion to your home at low prices.


Other posts you should not miss :


Friday, September 25, 2015




We can't deny that cars are part of our daily life, right? 
Whether your car might be pretty old or new but it can be different than ever; look more luxurious and more comfortable by decorating your car interior to have a good atmosphere on your way work or home is not a dispensable matter but a must.

If you want some ideas about car decor or interior car decor, good news! Here is the place where supplies you with interior car decor and car accessories with latest design and top quality. 


Here are some of Seat Covers:



Click to get information
Click to get information

Click to get information

Click to get information

Click to get information


Click to get information



Click to get information

Click to get information



Click to get information


Click to get information

Click to get information
Click to get information

Click to get information

Click to get information

Here are some of Creative Car Décors:
Click to get information
Click to get information

Reward yourself and a car after working hard together.


Other posts you should not miss :

Fashion Trends



Sunday, August 16, 2015



วันหยุดช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สามีชวนไปเที่ยวชมสถานที่ ๆ น่าสนใจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก เราขับรถไปถึงที่นั่นระยะทางเพียง 25 ไมล์เท่านั้นเอง อย่างไม่น่าเชื่อ....ในเมือง  Cape Girardeau จะยังมีร่องรอยประวัติศาสตร์หลงเหลือไว้ให้ได้ชื่นชม และยังทำให้ได้มีโอกาสเห็นภาพการดำเนินชีวิตของผู้คนในอดีตและความรุ่งเรืองเมื่อ 200 กว่าปีก่อน

ที่นี่ Bollinger Mill State Historic Site เป็นโรงสีที่ใช้พลังน้ำเดินเครื่อง อายุกว่า 200 ปี สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่สูงสี่ชั้น สร้างด้วย หินปูนและอิฐ ยื่นล้ำลงไปในแม่น้ำ Whitewater สร้างโดย George Frederick Bollinger มีประวัติเล่าว่าหลังจากที่เขาได้รับที่ดินที่สเปนมอบให้ในปี 1800  เขาได้นำกลุ่มครอบครัวหลายกลุ่มอพยพจาก North Carolina มาที่นี่ และเริ่มการสร้างโรงสีและเขื่อนด้วยท่อนซุง (Logs) บนแม่น้ำ Whitewater และสำเร็จอย่างรวดเร็วในปี 1820 พร้อมกับถนนเชื่อมต่อรอบ ๆ ชุมชน เขาจึงกลายเป็นที่รู้จักของผู้คน และผลักดันให้เขาเดินเข้าสู่ถนนการเมือง ในฐานะ Senator รุ่นแรกของรัฐมิสซูรี่

ต่อมาในปี 1825 โรงสีและเขื่อนถูกสร้างใหม่โดยใช้หินปูน (Limestone) เป็นฐาน (ที่เห็นในปัจจุบัน) ในช่วงสงครามกลางเมือง (Civil War) กองกำลังสหพันธ์ได้เผาโรงสีเพื่อป้องกันไม่ให้แป้งและอาหารตกอยู่ในมือกลุ่มกบฏ เฉพาะฐานที่สร้างด้วยหินปูนเท่านั้นที่เหลือให้เห็น

ความหนาของผนังหินปูนประมาณ 1 ฟุต
หลังจากที่สงครามกลางเมืองสงบ ครอบครัวนี้ได้ขายโรงสีพร้อมที่ดิน  640 เอเคอร์ ให้แก่ Solomon R. Burford ซึ่งเขาได้สร้างโรงสีใหม่ด้วย อิฐ (Brick) บนฐานหินปูนเดิม (Limestone) และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เปลี่ยนจากระบบ  Water wheel มาเป็นแบบ Water-driven turbine เสร็จสมบูรณ์ใน 1867 และเป็นโรงสีสี่ชั้นที่เห็นในปัจจุบัน และชื่อย่อของ R. Burford ยังคงปรากฏอยู่บนผนังด้านในประตูหน้า
เมื่อเดินเข้าไปภายในชั้นที่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ทักทายตามธรรมเนียม แล้วก็ปล่อยพวกเราตามอัธยาศัย เราถ่ายรูปทุกซอกทุกมุม แทบจะไม่ได้อ่าน (เหมือนเคย) คนที่อ่านคือสามี อ่านเสร็จก็บรรยายให้เราฟัง.... ชั้นนี้เป็นที่สำหรับติดตั้งเครื่องจักร-อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตอาหารและแป้ง จากข้าวโพด/ ข้าวสาลี ได้แก่ เครื่องแยก (Separators) เครื่องขัด (Scourers) โม่ขนาดมหึมา (Millstone) เครื่องร่อน (Bolters) เครื่องทำความสะอาด (Purifiers) เครื่องปัดรำ (Bran dusters) สายพาน (Conveyors) และ รางลำเลียง (Chutes) เครื่องชั่งขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ฯลฯ
ที่ชั้นล่างสุด (Understory) เป็นแหล่งที่ให้กำเนิดพลังงานจากน้ำ โดยปล่อยให้กระแสน้ำไหลจากเขื่อนผ่านเข้าประตูน้ำแคบ ๆ และไหลผ่านเสาหินปูนขนาดใหญ่สี่ต้น ทำให้เกิดการเบี่ยงของกระแสน้ำและมีพลังเพิ่มขึ้นจนสามารถหมุน Turbine ยักษ์ที่ติดอยู่กับแกนเพลา ที่หย่อนลงมาจากชั้นบนจุ่มอยู่ในน้ำ พลังงานกลจะถูกส่งผ่านเฟืองเกียร์ไปที่เพลาแนวนอนที่ชั้นบน 
 
Understory : กระแสน้ำเข้าทางซ้าย ผ่านเสาหิน และ เทอร์ไบน์ แล้วออกด้านขวา
เทอร์ไบน์ยักษ์
ชุดส่งกำลัง ที่ติดตั้งอยู่ชั้นแรก

ที่ปลายสุดด้านซ้ายของเพลาจะมีสายพานเชื่อมต่อกับลูกรอก ซึ่งจะเหมือนกับชุดที่ติดตั้งบนชั้นที่สาม ซึ่งเป็นชุดที่ส่งกำลังไปแกนเพลาที่ชั้นสี่ ลูกรอกที่ชั้นแรกและชั้นที่สามจะเป็นตัวขับเคลื่อนสายพานของเครื่องจักร ส่วนแกนเพลาที่ชั้นสี่จะเป็นตัวจัดกำลังให้แก่ลิฟท์หลาย ๆ ตัว


แต่ละ Station จะมีคำอธิบายการทำงาน และลำดับขั้นตอน เพื่อให้ผู้เยี่ยมชม เข้าใจและเห็นภาพอุตสาหกรรมการผลิตแป้ง และอาหาร ในศตวรรษที่ 19 จนถึง ต้นศตวรรษที่ 20 ได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น 

โม่หิน
เครื่องบรรจุอัตโนมัติ
ขณะที่ ดูไป....ถ่ายรูปไป...ก็จินตนาการไป ประหนึ่งว่าได้หลุดเข้าไปหญิงสาวในศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว ...ภายในชั้นแรก หรือชั้นที่หนึ่งนี้ยังจัดแบ่งที่ส่วนหนึ่งเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์สมัยโบราณ และมีสินค้าที่ระลึกจัดจำหน่าย  มีเจ้าหน้าที่ประจำหนึ่งคนคอยดูแลผู้มาเยือน

สินค้าที่ระลึก
ผ้าฝ้ายพิมพ์ที่สาว ๆ สมัยนั้นใช้ตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม-หมากฮอสทำจากแกนข้าวโพด

ซ้าย แม่น้ำ Whitewater  ขวา Burford Covered Bridge
ออกจากชมโรงสีพลังน้ำ เราก็ไปเดินเล่นบนสะพานไม้ ใกล้ ๆ ที่ชื่อว่า Burford Covered Bridge สร้างข้ามแม่น้ำ Whitewater ในแบบมีผนังปิดทึบทั้งสองด้านและมีหลังคาครอบมิชิดตลอดความยาว 140 ฟุต สร้างขึ้นในปี 1858 เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดจากหนึ่งในสี่แห่งของรัฐมิสซูรี่ที่ยังคงเหลืออยู่ มีประวัติความเป็นมายาวนาน และได้รับการขึ้นทะเบียนประวัติเป็นโบราณสถานแห่งชาติ  เช่นเดียวกับ Bollinger Mill State Historic Site

Burford Covered Bridge
ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอกันจนเป็นที่พอใจ และก็เหนื่อยแล้ว หิวด้วยได้เวลากินมื้อเที่ยงจาก ตะกร้าปิกนิกที่เตรียมไป…..วันนี้ กินแซนด์วิช เหมือนเคย แต่ข้างในเปลี่ยนเป็น ทูน่า ไข่ต้ม ผสมแตงดองข้ามภพอื้ม! อาหร่อย ยังมี Potato chips แสนเค็ม และ มีโค้กกับน้ำอีกคนละขวด ซ่าส์ถึงใจ(ชอบมว๊ากโค้กเมกา)...กินกันไป คุยกันไป และเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติแท้ ๆ ใต้เงาไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นเขียวขจี ฟังเสียงน้ำตกซ่า ๆ ที่ตกจากเขื่อน เสียงนกร้องเพลง แข่งกับเสียงหรีดระงมของจักจั่น ผีเสื้อที่โผผิน บินหาน้ำหวานจากดอกไม้ป่าริมแม่น้ำ บางตัวก็บินฉวัดเฉวียนเหนือหัวเรา มันคงได้กลิ่นหอม!!!!

รัฐมิสซูรี่ได้จัดพื้นที่ในบริเวณ Bollinger Mill State Historic Site ให้เป็นสถานที่พักผ่อนของประชานชน สามารถหิ้วตะกร้าปิกนิกไปรับประทานอาหารกับครอบครัว เพื่อน ๆ  โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดไว้ให้ได้แก่ โต๊ะรับประทานอาหาร ห้องน้ำ น้ำใช้และน้ำดื่มจากก๊อก  ถ้าอิ่มแล้วยังไม่อยากกลับ ก็มีกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการสำรวจป่า หรือนักเดินป่า มีทางเดินเท้าระยะสั้นๆ เลาะไปตามริมแม่น้ำ ไปจนถึงสุสานของตระกูล Bollinger Family แต่วันนั้นเราสองคนหมดแรงเสียก่อน.....คนสูงวัย เที่ยวไม่ได้นาน คิดถึงโซฟา....ที่บ้าน

ภาพด้านหน้า (ด้านขวามือ คือ Burford Covered Bridge)
Bollinger Mill State Historic Site ตั้งอยู่ที่ Burfordville, Cape Girardeau, Missouri ห่างออกไป 19 ไมล์ ทางด้านทิศตะวันตกของ Cape Girardeau ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ  และบูรณะให้อยู่ในสภาพดีเพื่ออนุชนรุ่นหลังได้แลเห็นวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในศตวรรษที่ 19 ถ้าใครได้มีโอกาสไปเยือนรัฐมิสซูรี่ และชื่นชอบที่จะเที่ยวชมโบราณสถาน อย่าพลาดที่นี่เด็ดขาด!


Beddinginn.com