เมื่อกลับออกจาก Ste.
Genevieve Catholic Church ประมาณ 12.40 น. เป้าหมายถัดไปคือ
French Colonial Houses แมรี่กางแผนที่และเรียกคีธให้ช่วยกันดู
ช่วงนี้แดดร้อนจนต้องหลบพิงกำแพงอาคารที่อยู่ติดกับ Church (แต่สองคนพี่น้องยังคงกางแผนที่ดูกันกลางแดด)
เราดึงแขนมัมให้เข้ามาคอยในร่ม แล้วตัวเองก็ฆ่าเวลาโดยการลัดเลาะไปตามซอกอาคารเพื่อพินิจผนังอาคารที่ดูแปลกตา คล้ายเอาหินก้อนวางแล้วโบกเชื่อมระหว่างร่องรอยต่อแต่ละก้อนด้วยปูนซีเมนต์
โดยไม่ต้องทาสี เดาเอาว่า นี่อาจเป็นอาคารที่สร้างด้วย Rock แบบเดียวกับ
Church ก่อนที่จะสร้างเป็นผนัง Brick ครอบแล้วรื้อ
Rock ทิ้งไป.....
เมื่อรู้ทิศทางที่จะไปแล้ว แมรี่ก็พาพวกเราเดินเรียบไปตามถนน
Market St ไปทางตะวันออกผ่านร้านรวงประมาณสิบกว่าร้านก็ถึงแยกตัดกับ
Second St เลี้ยวขวาไปทางเหนือเดินต่อไปยังถนน Merchant
St. โดยที่ไม่รู้ว่าบ้านโบราณที่กำลังจะไปนั้น จริง ๆ
ตั้งอยู่ตรงไหนแน่ ไกลหรือใกล้
เราเดินไปถ่ายรูปหน้าร้านที่มีดอกไม้ปลูกประดับประดาไว้อย่างสวยงามเกือบทุกร้านและอาคาร
ภายในร้านขายสินค้าประเภท Art galleries เกือบ 10 ร้านจะตกแต่งด้วยผ้าม่านลูกไม้ ดูเป็นเอกลักษณ์ นอกร้านปลูกดอกไม้สวย ๆ
แถมมีม้านั่งน่ารัก ๆ
จัดไว้สำหรับคนที่ต้องการนั่งพัก....ถนนหนทางแลดูสะอาดสะอ้านไม่มีรถราขวักไขว่
หรือควันขาวควันดำ ริมถนนปลูกต้นไม่ใหญ่ที่ให้ร่มเงาตลอดทาง ส่วนอาคาร
มีทั้งแบบที่เป็นอาคารแถวแบบสองชั้นแบบเก่า (เหมือนเมืองไทย) และมีอาคารเดี่ยว
ๆ ที่เป็นสำนักงานของทั้งภาครัฐและเอกชน สร้างด้วยอิฐแดง ดูโดดเด่นสดใส ที่ไม่เคยเก่าไปกับกาลเวลา
นี่แหละเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมยุโรปยุคเก่าแก่.....
เราเดินรั้งท้ายสุดเพราะมัวแต่ชื่นชมเมืองและถ่ายรูป
แล้วสังเกตเห็นมัมเดินทิ้งช่วงคนอื่น ๆ ที่เดินไม่เหลียวหลัง มัมเดินช้าลงเพราะเริ่มเหนื่อยอ่อน
เราเข้าไปประคองเธอ และบอกให้หยุดพักก่อนค่อยเดินต่อ
แล้วก็ตะโกนเรียกคีธบอกว่าให้กลับไปเอารถมาจอดแถว ๆ นี้ เพราะมัมเดินกลับไม่ไหวแน่
(สามีตอนแรกอ้าปากจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินเหตุผลก็ร้อง อ้อ!)
เดินต่อมาอีกหน่อยก็ถึงจุดตัดถนน Merchant St. เป็นสี่แยก แมรี่กางแผนที่ดูอีก
แล้วก็พาเลี้ยวซ้ายไปทางตะวันตก เดินมาอีกประมาณสามสิบเมตรมองซ้ายมองขวาหาที่หมาย
ก็มีหญิงสาวสวนทางมา เธอหยุดและทักทายและพูดว่าถ้าพวกเรากำลังจะไปที่บ้านโบราณละก็
เดินอีกนิดก็จะถึงแล้วอยู่ซ้ายมือนั่นแหละ
เข้าประตูไปแล้วจะมีไกด์คอยต้อนรับที่นั่น.....(Thank you... คิดเอาว่าเธอคงเป็น
Staff ของบ้านโบราณ!!!)
|
บ้านเก่า ในรั้วใหม่ |
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูที่ติดป้ายว่า Shaw
House Welcome รั้วที่ก่อด้วยอิฐแดง ภายในมีบ้านชั้นเดียว สามหลัง
สองหลังแรกหันหน้าเข้าหากัน (ซ้าย-ขวา) บ้านด้านซ้ายมือไม่ได้เปิดให้ชม
บ้านหลังด้านขวามือ คือที่ ๆ พวกเราจะเดินเข้าไปชม ส่วนตรงกลางเป็นลานกว้าง
หลังที่สามหันด้านข้างให้เรา (หรืออาจเป็นด้านหลัง?) มองผ่าน
ๆ เหมือนเป็นแค่เพียงกำแพง......สังเกตเห็นมีบางอย่างยึดตรึงห้อยอยู่คล้ายๆ
เอาไว้ล่ามอะไรสักอย่าง
ความคิดแว่บขึ้นมา...หรือว่าเป็นเครื่องยึดข้อมือสองข้างของนักโทษให้ติดกับกำแพง
รอลงอาญา?....จินตนาการไปได้ขนาดนั้นเลย แล้วก็ไม่ได้คิดเฉย
ๆ ยังให้สามีถือกล้องไว้
แล้วตัวเองก็สอดมือทั้งสองเข้าไปทำท่าขึงพืดติดกำแพงแล้วบอกให้สามีกดชัทเตอร์
มิวายไกด์จะพยายามบอกว่า
“โอโน...ตรงนั้นมันคือที่สำหรับจอดม้าในอดีตกาลตะหากล่ะจ๊ะ” ทำให้มัมลืมเหนื่อย หัวเราะชอบใจที่เห็นลูกสะใภ้ทำบ้า
ๆ บอ ๆ.....
ภายในบ้าน...ด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ สะอาดน่าใช้บริการ
ด้านขวาเป็นห้องใหญ่ทำเป็นสำนักงาน ส่วนที่เหลือตรงหน้าเป็นห้องจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นของบ้านโบราณหลังนี้
และยังมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากเฮิร์บ เช่น สบู่หอม เทียนหอม ที่ส่งกลิ่นหอมแปลก
ยังมีเครื่องใช้เซรามิก รูปภาพพร้อมกรอบ
หนังสือ สินค้าหัตถกรรม จักสาน และอื่น ๆ อีกมาก
สำหรับซื้อติดไม้ติดมือ หรือเป็นของที่ระลึก
ความพิเศษของบ้านหลังนี้ คือ สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง
พื้นไม้เดิม ๆ อายุ 200 ปี ยังไม่มีทีท่าว่าจะผุพัง ถัดจากห้องนี้มีประตูเปิดเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งด้านขวา
ในนั้นไม่มีอะไรมาก
นอกจากภาพท่านผู้เคยครอบครองบ้านหลังนี้มาก่อน....แล้วก็มีตู้ไม้ใบเก่า
เรามือไวลองลูบคลำ....ไกด์ร้องเสียงหลงว่า “อย่าแตะ!”....หดมือแทบไม่ทัน...
|
รูปถ่ายท่านผู้เป็นเจ้าของ ติดไว้เหนือเตาผิงที่ผลิตจากเหล็ก หล่อลวดลายวิจิตร |
|
พื้นไม้-ชั้นบน |
|
พื้นไม้กระดานดั้งเดิมที่ยังไม่ผุพัง-ชั้นล่าง |
ภายในห้องนี้ดูทรุดโทรมมากแล้ว
แม้ว่าภายในนั้นมีพัดลมเปิดให้ความเย็นแต่เนื่องจาก ห้องเล็ก คนเยอะ
อากาศตอนบ่ายก็แสนจะร้อน มัม และหนุ่มคีธ ถึงกับเหงื่อแตก “พลั่ก”
ยังดีที่มัมถือพัดญี่ปุ่นติดมือมาด้วย พัดอันเป็นของฝากจากสะใภ้คนนี้
ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่วันนี้เอง แถมคนซื้อให้เป็นคนบริการพัดโบก
ซับเหงื่อให้ทั้งแม่สามีและสามีตัวเอง
(เมียดีขนาดนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะที่รัก).....ก่อนออกมานึกได้ว่าควรถ่ายภาพไกด์สาวรุ่นใหญ่กับคุณสามีไว้เป็นที่ระลึก...กดไปหนึ่งแชะ
|
ไกด์สาวประจำที่นี่ |
เดินตามไกด์ออกไปบ้านอีกสองหลังที่อยู่ตรงข้างถนน เธอพาพวกเราเดินผ่านเข้าประตูที่เขียนว่า
Exit ภายในรั้วบ้านนี้ มีบ้านสองหลัง
ไกด์พาเข้าชมบ้านหลังเล็กสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ ผนังบ้านนี้สร้างด้วยอิฐแดง
พื้นเป็นไม้.... ที่จริงไม่น่าเรียกว่าบ้าน เพราะมันเล็กเกินไป
ภายในมีแค่ห้องเดียว ที่มีเตาผิง หน้าต่างหนึ่งบาน มีบันไดเล็กขึ้นข้างบนได้
ที่นี่เคยเป็นที่สำหรับทำงานทอผ้า และเก็บสมุนไพร ที่ทำเป็นการค้าในอดีต....ไกด์บรรยายความเป็นมา และพาออกมาดูสวนน้อย ๆ ในปัจจุบัน
เพื่อจำลองภาพ ในอดีตที่เคยเป็นทุ่งเกษตร.....
|
ซ้าย Felix
Vallé House State Historic Site ขวา ห้องทอผ้าและเก็บ Herb |
|
ภายห้องทอผ้าและเก็บ Herbs |
|
Herbs ที่ปลูกไว้ในสวนหลังบ้าน ตากแห้งแล้วนำมาเก็บ |
|
ซ้าย เครื่องทอผ้า ขวา ไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นอะไร แต่อยากถ่ายรูปไว้ดู |
|
สวนหลังบ้าน ที่เคยเป็น ทุ่งเกษตร |
ไกด์พาพวกเราเดินผ่านสวนอ้อมไปที่ประตูทางเข้าด้านหน้าของ
บ้านหลังที่เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์คือหลังใหญ่ที่มีชื่อว่า Felix Vallé
House State Historic Site สร้างขึ้นในปี 1818 ลักษณะโครงสร้างผนังเป็นหินปูน (limestone) พื้นไม้
เดิมเคยเป็นบ้านของ Felix and
Oldile Pratte หนึ่งในครอบครัวสมาชิก Ste. Genevieve
|
Felix
Vallé House State Historic Site ถ่ายจากด้านข้าง |
ชั้นล่างของที่นี่เมื่อเข้าไป ห้องแรกเป็นห้องที่เคยทำการค้า
แต่ปัจจุบันใช้เป็นห้องจัดแสดงสินค้าที่เคยขายในอดีต ได้แก่ ภาชนะที่ผลิตจากเหล็ก รองเท้าหนัง
หนังขนสัตว์ (บีเวอร์) ผ้าฝ้ายทอมือ ผ้าห่ม ชาแผ่นอัดลายสำหรับชงดื่ม น้ำตาลทรงแปลกๆ
เครื่องมือ ภาชนะเครื่องใช้อื่น ๆ.......
|
ผ้าที่ทอด้วยเครื่องทอทีอยู่ในห้องหลังบ้าน |
|
หนังบีเวอร์ ที่เป็นสินค้าในยุคนั้น และเป็นอาชีพหลักของพลเมือง นอกจากการเกษตร |
|
สินค้าประเภทเครื่องครัวที่ผลิตจากเหล็กกล้า |
จากห้องนี้มีประตูเปิดไปยังอีกห้อง ๆ
นี้จัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ต้นจักรวรรดิที่สวยงามซึ่งได้รับการบูรณะโดยครอบครัว Wilhauk อันได้แก่ ชุดเครื่องดื่มเซรามิก
โซฟา ตู้ ชั้น เก้าอี้ และมีภาพถ่ายของเจ้าของบ้านคนแรกติดเหนือเตาผิง
|
ชุดเซรามิกสำหรับเครื่องดื่ม |
จากห้องนี้ยังมีประตูเปิดไปยังห้องที่อยู่ด้านหลังบ้าน ในห้องนี้มี
ตู้ยุคเก่าโชว์เครื่องเซรามิก และโต๊ะพร้อมเครื่องถ้วยชามชุดรับประทานอาหาร 4 ที่ โดยไม่มีใครทันสังเกต ว่าการจัดวางชุดช้อน-ส้อม
บนโต๊ะนั้นไม่เหมือนกันสองที่ ไกด์บอกว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็น
ความแตกต่างระหว่าง ธรรมเนียมฝรั่งเศส จะวางชุดช้อน-ส้อม แบบคว่ำ ส่วน อเมริกา
วางแบบหงาย….
|
ห้องรับประทานอาหารที่อยูติดระเบียงด้านหลังบ้าน |
จากห้องด้านหลังนี้มีประตูเปิดออกไปสู่ระเบียงด้านหลังสุดของบ้าน
(ที่พวกเราเข้ามาตอนแรก ก่อนเดินอ้อมไปข้างหน้า)
ซึ่งเคยเป็นระเบียงชมทุ่งเกษตรที่ปลูกเฮิร์บและดอกไม้นานาพรรณ
มีบันไดสามสี่ขั้นเดินลงไปชมสวนได้.....
|
ระเบียงด้านหลังของ Felix
Vallé House State Historic Site ที่สำหรับนั่งชมทุ่งเกษตรสมัยนั้น |
|
Herbs ที่ปลูกไว้ในปัจจุบัน มีเพียงเล็กน้อย เพื่อเป็นการศึกษา |
ด้านขวาของระเบียงมีประตูเปิดขึ้นบันไดแคบ ๆ ไปที่ชั้นสอง (ขั้นบันไดก็แคบมาก) ซึ่งเคยเป็นห้องนอน มี 2 ห้องนอน เปิดเชื่อมถึงกัน
ภายในห้องนอนประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ยุคโบราณ เช่น เตาผิง เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ชั้นเก็บของ เก้าอี้ กระโถน และอ่างล้างหน้าผลิตจากพอร์ซเลนที่มีลวดลายสวยงามวางในรถเข็นที่สามารถเข็นไปเปลี่ยนน้ำใหม่ได้
|
บันไดขึ้นชั้นบน -ขั้นบันไดสั้นกว่าเท้า |
|
ห้องนอนปีกซ้าย ..... ที่ตั้งบนตู้ปลายเตียงคือ "ลูกคิด" สำหรับการคำนวณ |
|
ห้องนอนปีกขวา |
|
โต๊ะเครื่องแป้ง |
|
กระโถนสำหรับถ่ายในห้องนอน |
|
รถเข็นที่ทำด้วยไม้ทั้งคัน ใช้เข็นน้ำใส่ชามเซรามิกสำหรับล้างหน้าในห้องนอน |
ไกด์ยังถามเราว่า “ตอนยูเป็นสาว ๆ
บ้านยูเอาน้ำมาใช้ด้วยวิธีไหนเหรอ” มัมได้ยิน รีบชิงตอบแทนเลยว่า “ชีเคยหาบน้ำโดยใช้ถังสองใบแล้วมีคานวางบนบ่านะ”
(นี่ไง สงสัยว่ามัมคงได้ฟังเรื่องราวทุกสิ่งอย่างที่เราเคยเล่าให้คุณสามีฟังหมดแล้วเป็นแน่)
ไกด์ทำตาโต “โอ้!ยูน่ะเหรอ....แล้วไปเอาน้ำที่ไหน ไกลมั๊ย”
ปฏิเสธไม่ได้ซิเพราะจริง เลยต้องวางกล้องแล้วเล่าขยายความว่า “โอ..ตอนไอเป็นเด็กแค่
6-7 ขวบไอเห็นสาว ๆหาบน้ำจากสระที่วัด
ไอก็อยากทำอย่างนั้นมั่ง พ่อไอเลยซื้อกระแป๋งน้ำคู่เล็กสุด
พร้อมทำไม้คานพิเศษให้ไอ เหมือนเล่นขายของเลย ไอหาบน้ำไกลประมาณห้าสิบเมตร
เอามาใส่ตุ่มใบหญ่ายจนเต็ม มีหลายใบด้วย..(คุยโอ่พร้อมทำท่าประกอบ) พอเริ่มโต
พ่อไอก็ซื้อกะแป๋งเบอร์ใหญ่ขึ้น ๆ จนกระทั่งใหญ่สุด”
(สมใจนึกบางลำพูเลย)
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้นอกจากจะเปิดให้เข้าชมโดยต้องซื้อบัตรแล้ว
ยังเปิดให้ประชาชนเช่าเป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน หรือปาร์ตี้ต่าง ๆ
ในบริเวณสวนหลังบ้าน และสามารถพักค้างคืนที่ชั้นสองในห้องที่มีบรรยากาศย้อนยุคไปร้อยกว่าปี
ได้อีกด้วย (ตัวอย่างภาพล่าง)
Felix Vallé
House State Historic Site เป็น French Colonial Houses หนึ่งในสามหลังบ้านโบราณใน Ste. Genevieve และเป็นสามในห้าหลังของสหรัฐอเมริกาที่ยังเหลืออยู่......บ้านอีกสองหลัง ที่เราไม่ได้ไปชม คือ
1. The Beauvais-Amoureux House ตั้งอยู่ที่ 327 ถนนเซนต์แมรี ถูกสร้างขึ้นในปี 1792 เพื่อดูทุ่งเกษตร
Le Grand Champ ผนังของบ้านหลังนี้สร้างโดยใช้ไม้ซุงซีดาร์ปักลงไปตรง
ๆ ในพื้นดินโดยไม่มีฐานราก หลังคามีปล่องไฟกลางหลังคาปั้นหยา หลังนี้ จะเปิดให้ประชาชนชมเป็นครั้งคราว
(เปิดจำหน่ายบัตรให้เข้าชมทุกวัน ช่วง June-August
เปิดเฉพาะวันหยุด ช่วง April, May, Sept and Oct.)
2. Jacques Guibourd House ตั้งอยู่ที่ One North Fourth Street
สร้างในปี 1806 เปิดจำหน่ายบัตรให้เข้าชมทุกวันเฉพาะช่วง Mar-Nov
สำหรับ Felix
Vallé House State Historic Site ตั้งอยู่ที่ Merchant &
Second Street เปิดจำหน่ายบัตรให้เข้าชมทุกวันช่วง
Mar-Oct, เปิดเฉพาะ พฤหัสบดี
– อาทิตย์ ช่วง Nov-Feb
วันนี้เราไม่สามารถเดินชมได้ทั้งหมดเพราะมัมค่อนข้างเหนื่อย
และอากาศก็ร้อนมาก...คีธไปเอารถมาจอดรอตอนไหนไม่ทันสังเกต
เมื่อกลับออกมาราชรถก็มาเกยถึงที่ แม่รี่บอกว่ามีร้านไอศกรีมอยู่บนถนน Merchant
St ให้ไปเจอกันที่นั่น.....Sara’s Ice Cream Shop น่าจะเป็นร้านนี้ เราจอดรถที่ฝั่งตรงข้าม แล้วเดินข้ามถนนเข้าไปในร้าน
ข้างในมีโต๊ะนั่งมากมาย แต่อยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีเพียงสามโต๊ะ ๆ ละสองที่นั่ง
ก็พอดีเรา 6 คน ทุกคนสั่งสิ่งที่ตัวเองอยากกิน
เราไม่รู้จะกินอะไรเพราะไม่ค่อยได้กินไอศครีมไม่รู้อะไรอร่อย คีธจึงสั่งให้ได้ยินแว่ว
ๆ ว่า “Chocolate Milk Shake” เรานั่งดูคนขายทำไอศกรีม เริ่มด้วยการตักไอศครีมจากกล่องสี่เหลี่ยมที่มีอยู่นับสิบ
ใส่ลงในเครื่องปั่นหรืออะไรสักอย่าง แล้วเติมนมลงไปแล้วก็เปิดสวิชท์เครื่องผสมกัน
เทใส่ถ้วยโฟมขนาดใหญ่โตมโหฬาร เราคิดในใจว่า “ใครจะกินหมด (วะ) เนี่ย?”......กินคำแรกปวดจี๊ดที่ขมับเลย...คำที่สอง..สาม..หายปวด.เริ่มชิน...โห...อะไรจะอร่อยขนาดนี้
กินไปได้ไม่ถึงครึ่งเราบอกว่าจะเอาไปกินบนรถขากลับ...คีธขับรถตามแมรี่มาจอดที่หน้าพิพิธภัณฑ์
เพื่อเอาของฝากพ่อแม่มาใส่รถ พวกเราร่ำลากันตรงนั้นแล้วก็ต่างคนต่างออกรถไป.....
เราตั้งใจกันว่า จะกลับมาที่ Ste. Genevieve
อีกครั้งอาจเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะยังมีสถานที่ ๆ น่าสนใจที่เรายังไป คือ Ste
Geneviève Wine Country แหล่งปลูกองุ่นและผลิตและบ่มไวน์
ประมาณ 10 แห่ง ที่ให้บริการจัดงานปาร์ตี้
งานแต่งงานนอกสถานที่ และผู้คนสามารถไปหิ้วตะกร้าไปปิกนิคและเยี่ยมชมไร่องุ่น
ดูการผลิตและบ่มไวน์ ซึ่งบางแห่งให้บริการที่พักค้างคืนด้วย...คือว่า อยากพักค้างคืนในไร่องุ่น เย็น ๆ ดูตะวันตกดิน มื้อค่ำจิบไวน์กินอาหารแปลก ๆ (ที่คนอื่นทำ) แดนซ์กับสามีสักสองสามเพลงก่อนไปนอน ตื่นเช้ากินเบรคฟาสต์ (ที่คนอื่นทำ) พร้อมชมทิวทัศน์ทุ่งไวน์....สวรรค์อยู่ไม่ไกล!!!
ขากลับเรามีความสุขสำราญกับการกินไอศกรีมถ้วยยักษ์ กินหมดโดยไม่รู้ตัว
ปรากฏว่าเย็นนั้นไม่รู้สึกหิว จึงลืมเรื่องอาหารมื้อเย็นไปเลย
อิ่มมาถึงเช้าของอีกวัน....ไม่รู้รับไปกี่แคลอรี่!!!!
Trip นี้ คุ้มจริง ๆ
คลิกอ่านต่อเนื่อง
0 ความคิดเห็น :
Post a Comment