Friday, June 26, 2015

ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านตอนแรก "สะใภ้ต่างแดน" 
 คลิกอ่านที่นี่ ก่อนได้ค่ะ

ไม่กี่วันต่อมา สามีบอกว่า “มัม” โทรมาให้ช่วยพาเธอไปซื้อ Laptop ที่ วอลมาร์ทหน่อย....อะฮ้า!..ดูเหมือน “ไอเดีย” ของเรา กำลังได้รับการตอบสนองแล้ว...เรื่องนี้มีที่มาว่า....ก่อนหน้านี้เราเคยเสนอสามีให้เอาเงินที่ได้รับจาก “มัม” เดือนละ $400 นั่นซื้อแท็บเล็ตให้เธอ สักเครื่อง แล้วเราจะสอนเธอให้ใช้ Social network วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้เธอได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ น้อง ๆ และลูก ๆ ในเฟสบุค จะได้ไม่รู้สึกเหงา ที่สำคัญ เหนืออื่นใด ในเวลาที่พวกเรากลับไปอยู่ที่เมืองไทยปีละสี่เดือน เราก็สามารถวีดีโอคอลหาเธอได้ทุกวัน เห็นหน้ากันทุกวัน...สามีรับปากว่าจะซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดในเดือนสิงหาคมก็แล้วกัน.... ต่อมาเราได้มีโอกาส “แชท” ในเฟสบุค กับน้าเวอร์จิเนียเป็นครั้งแรก จึงได้ทราบว่าเธอใช้ FB ได้แค่ดู Post กด Like แล้วก็ Comment แต่ไม่รู้ ไอคอน Chat, Notified ที่อยู่แถวบน ๆ มีไว้ทำไร แชทยังไง รับไฟล์ ยังไง ไม่รู้เลย.... เราจึงแนะวิธีใช้ Messenger box การรับ-ส่งไฟล์ ใช้อิโมจิคอน ประมาณพอให้ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวแบบ Real time เสร็จแล้วเธอก็ถามว่าเรามี Skype หรือเปล่า นั่นเองที่ทำให้เรามีโอกาสคุยกันทางช่องทางนี้ ซึ่งจริง ๆ เธอก็ไม่รู้ว่า สามารถคุยกันแบบเห็นหน้าบน Skype ได้ด้วย (เธอใช้แค่การโทรศัพท์ กับ IM) ดังนั้นเราจึง บอกวิธีใช้ “วีดีโอคอล”...กว่าจะบอกให้เธอปรับกล้องให้เห็นหน้าตาแบบหัวไม่หาย ก็ใช้เวลานานพอควร....ที่สุดก็สำเร็จ พอได้เห็นหน้าตากันอีกครั้ง เราต่างก็หัวเราะ….เธอสารภาพว่า เธอไม่เก่งการใช้คอมฯ ต้องการให้เราหาโอกาสไปเยี่ยมเธอที่ Spring Field เพื่อช่วยสอนหน่อย
คืนนั้นเราได้มีโอกาส บรรยายสรรพคุณของการใช้ Free Messenger Application และพูดถึง “ไอเดีย” ที่อยากให้สามีซื้อ  แท็ปเล็ต ให้ “มัม” ใช้ที่สามารถต่อเข้าทีวีแอลซีดีจอยักษ์ที่บ้าน แล้วเราจะปรากฏกาย คุยกับ “มัม” ทุกวัน เธอจะเห็นทุกอย่างที่บ้านที่เมืองไทย...อะไรประมาณนี้ ...(แน่นอนว่าน้าคงจะคุยเรื่องนี้กับ “มัม” เธอถึงได้บอกลูกชายให้พาไปซื้อ....)
         พอถึงวันอาทิตย์ พวกเขา ได้ HP Laptop สีฟ้า, Windows 8.1 ราคา $199 พอมาถึงบ้านเขาก็แกะกล่องเอาเครื่องออกมาเสียบปลั๊ก วินโดว์ 8.1 แต่ไม่ใช่ ทัชสกรีน (เลยราคาถูกไง) เราได้เตรียมขยายโต๊ะทำงานของเรา และเพิ่มเก้าอี้อีกตัวเพื่อให้สามีสุดที่รักสอนแม่ของเขา....แต่ที่เห็นคือ เขาเริ่มสอนให้แม่ ตั้งค่าต่าง ๆ ในเครื่อง (เหมือนจะสอนให้เป็น Administrator หรือไม่ก็สอนแบบหลักสูตรการใช้คอมฯเบื้องต้นงั้นแหละ) เราดูอยู่พัก เห็นจะไม่ได้การ จำเป็นต้องสอดขึ้นมาว่า “ที่รัก เธอไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนั้นหรอก ยูต้องเป็นคนทำให้เรียบร้อยพร้อมใช้ การตั้งค่าทำแค่ครั้งเดียวก็จบ ไม่ได้ทำทุกครั้งที่จะใช้งาน เสร็จแล้วค่อยบอกวิธีใช้ Skype, FB และ Email จากนั้นก็ให้เธอฝึกหัดแล้วเช็คว่าเธอจำได้แค่ไหน นั่นพอแล้ว” ตกลงสามียินยอมทำตาม แต่ด้วยเหตุที่บ้านเราถูกลดความเร็วเน็ท (เพราะใช้ดาต้าเต็มพิกัด 20GB แล้ว) ทุกอย่างเลยเชื่องช้าไปหมด จวนใกล้ค่ำแล้ว เห็น แด๊ด ดูท่าทางอยากสูบบุหรี่ เราเลยบอกให้พวกท่านกลับไปก่อนแล้วจะเอาเครื่องไปส่งและสอนให้ที่บ้าน... 
สามีดำเนินการต่างๆ เช่น ตั้งชื่อ Computer name, Password  รวมทั้ง Email account  ต่อด้วย Download และ Install Skype App. แล้วก็อัพเดท HP ใช้เวลาทั้งคืนยันเช้า กับความเร็วเน็ทแค่ 2 Mbps...เขาทำแค่นั้น! เราเลยต้องเอาเครื่องมาทำต่อตอนสาย ๆ.....เริ่มจาก ส่งภาพ “มัม” จากเครื่องเราไปที่เครื่องของเธอ แล้วเพิ่มรูปในโปรไฟล์อีเมล์ รูปก็จะไปโผล่ที่ชื่อเจ้าของเครื่อง และที่โปรไฟล์ Skype ด้วย ส่งคำเชิญ Skype ไปหาตัวเอง และน้าเวอร์จิเนียร์ เสร็จแล้วก็ Sign up Facebook ใส่รูป Profile, Cover Photo แล้วส่ง Friend request ไปหาตัวเอง เราก็คลิก Confirm (กลายเป็นเพื่อนคนแรกของ “มัม”) 

ส่ง Friend request ไปหา สองน้องสาวสองคน และลูก ๆ ของ เธอด้วย  จากนั้นเราก็ Upload photos ลง Timeline ใช้รูปที่เราเคยถ่ายเก็บไว้ ทั้ง “แด๊ด และ มัม” ตอน คริสต์มาส ตอนไปกินที่ร้านอาหาร รูปสวนหลังบ้านและดอกไม้ที่เพิ่งถ่ายไม่นานนี้ และรูปเก่าที่สามีเคยส่งให้ดู (ตอนจีบกัน)....สักครู่ก็มีคนอื่น ๆ คลิก Like ที่รูป และส่ง Friend Request  มา “ตรึม” คนที่เราพอรู้จักเราก็ Confirm ไป รวมได้มาโหลหนึ่งพอดี หยุดไว้แค่นั้นก่อน ที่เหลือไว้ให้เธอตัดสินใจเองว่าอยากเป็นเพื่อนด้วยหรือเปล่า.....ดึกแล้ว
หลังอาหารกลางวันของวันรุ่งขึ้น สามีก็เอาเครื่องไปส่งแม่ของเขาและสอนวิธีใช้งาน ซึ่งเราคาดหวังว่า เขาจะสอนวิธีใช้ Skype และ Facebook เป็นอันดับแรก....พอบ่ายสี่โมงเย็นเขาก็กลับมาถึงบ้าน เพราะเป็นเวลา “ซดเบียร์” เราถามว่าสอนเธอทุกอย่างตามที่สั่งหรือเปล่า คำตอบที่ได้คือ “ใช่” ......ผ่านไปวันนึงก็ได้ยินเสียงสองแม่ลูกคุยโทรศัพท์กัน จับใจความได้ว่า ล็อกอิน เข้าใช้เครื่องตัวเองไม่ได้.....โธ่ถัง!!!.....พอวางสายกันไปแล้วเราต้องเริ่มการสัมภาษณ์สดสามีทีละคำถาม..โน่น นี่ นั่น ได้สอนมั๊ย? หลังจากสอนแล้วได้ปล่อยให้เธอลองหัดทำด้วยตัวเองมั๊ย? เช็คหรือเปล่าว่าเธอทำได้มั๊ย?....สรุปความได้ว่า เมื่อไปถึงบ้านแม่ เขาแค่เปิดเครื่อง แล้วบอกว่าให้ใส่พาสเวิร์ดอะไร ใส่ตรงไหน เสร็จแล้วก็ Test Skype โทรไปหาน้าเวอร์จิเนียร์แต่ไม่ได้คุยกันเพราะน้าไม่ออนไลน์  ส่วนเฟสบุค นี่ก็ไม่ได้สอนว่าเข้าไปใช้ได้ไงเราอุตส่าห์คลิกให้จำพาสเวิร์ดไว้ให้แล้ว (เขาบอกว่ามีเรื่องอื่นต้องไปทำหลายอย่าง).....มายก็อด! เลยบอก งั้นบ่ายนี้เราไปบ้านโน้นกัน เดี๋ยวจะสอนเธอเอง....เราหิ้วเครื่องตัวเองไปด้วย เพื่อเอาไว้ Test วีดีโอคอล
            “มัม” นั่งประจำที่ สะใภ้ก็เริ่มบอกแม่สามี ว่า “มัม...ช่วยแสดงให้ดูหน่อยว่ายูล็อคอินไง?” เธอก็เริ่มพิมพ์ลงในช่องพาสเวิร์ด แบบนิ้วเดียวจิ้มไปทุกที่....แล้วเราก็เห็น “ปัญหา” ว่าทำไมล็อกอินไม่ได้.... เพราะคุณลูกชายดันไปตั้งพาสเวิร์ดมีอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ไว้แรกสุดกับตรงกลาง แต่ไม่ได้บอกแม่ว่าให้พิมพ์ตัวใหญ่....เราก็รู้ทันทีว่าควรเริ่มสอนจากตรงไหน  “มัม ยูต้องพิมพ์ตัวใหญ่ที่ตัว R และ H นะ”....ปัญหาต่อมาคือ เธอ ไม่รู้ว่าทำไงให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่....เราก็แนะไปว่า ให้กดแป้น Shift ค้างไว้แล้วอีกมือนึงก็กดตัวเลข/ตัวอักษร แล้วปล่อย ปรากฏว่าพอเธอลองทำ เธอไม่สามารถควบคุมนิ้วมือสองข้างให้ทำในสิ่งที่ต่างกัน พอนิ้วซ้ายกด Shift ค้างไว้ นิ้วข้างขาวก็กดตัวเลข/ตัวอักษร ค้างไว้เหมือนกัน ทำให้ตัวเลขวิ่งไม่หยุด......งานเข้าละซิ ต้องเริ่มสอนกันตั้งแต่วิธีใช้แป้นพิมพ์ และการใช้มือสองข้างพิมพ์ พร้อมอธิบายว่า Cap lock ต่างจาก Shift ยังไง และควรใช้ตอนไหน


หลังจากผ่านบทที่ 1 การใส่รหัสผ่านเข้าเครื่องได้แล้ว ก็เรียนบทที่ 2 การใช้ Skype อันเป็นเป้าหมายหลักของการซื้อ Laptop ปัญหาของการเรียนบทนี้ที่พบคือ เมื่อมัมต้องใช้มือควบคุมเม้าส์ให้ชี้อยู่ในตำแหน่งที่จะพิมพ์หรือชี้ไปที่ใด ๆ ก็ตามเธอยังมองตามตัวพอยท์เตอร์ไม่ทัน ไม่รู้ตอนนี้มันอยู่ตรงไหน? แล้วจู่ ๆ มันแปลงร่างเป็น ตัวเคอร์เซอร์ ได้ไง?....จริง ๆ เธอจับเม้าส์ไม่เป็น หรือพูดอีกอย่างเธอไม่ยอมจับเม้าส์ด้วยอุ้งมือ หรือด้วยนิ้วทั้งห้า เธอแค่ใช้นิ้วชี้จิ้มที่ปุ่มซ้ายทำให้มันโดดไปทั่วเพราะเม้าส์เลื่อนไปตามแรงที่กระทำลงไป.....ปัญหาต่อมา...ทดสอบโดยให้เธอส่งข้อความ อะไรก็ได้ไปหาเรา ซึ่งตอนนั้น โน้ตบุคของเราอยู่บนตักสามี “พร้อม Testเธอพยายามที่จะพิมพ์คำว่า Good daughter-in-law เราคิดเอาว่า นั่นคือสิ่งที่ออกมาจากใจของเธอ..(แบบว่าแอบคิดเข้าข้างตัวเองนิดนะ) แต่เธอก็พิมพ์เป็น Good duaaughter law…..พิมพ์ผิด พิมพ์เกิน ตกหล่น ไม่รู้จะลบยังไงอีก....ต้องสอน ระหว่างการใช้ Backspace กับ Delete……ลูกสะใภ้กับแม่ผัว หัวเราะกันเสียงดังลั่นระหว่างการเทรน......เราเริ่มลองให้เธอหัดใช้ touch pad บ้างแต่ ก็เกิดปัญหา เหมือนที่เราเคยเป็น คือลากนิ้ว เพื่อเลื่อนพ้อยเตอร์ จนนิ้วไปสะดุดขอบ touch pad แต่เม้าส์มันยังไปไม่ถึงเป้าหมาย เสร็จแล้วก็ไม่รู้จะทำไงกับมัน ก็เลยไม่ชอบวิธีนี้ ต้องไปซื้อ Wireless mouse มาใช้.....(เรามาค้นพบตอนหลัง ๆ เมื่อครั้งที่ลืมหยิบเม้าส์ไปที่ทำงานด้วย เลยจำเป็นต้องใช้ Touch pad….วันนั้นจึงได้เริ่มเรียนรู้วิธีที่เวิร์กกว่า คือ ใช้การเขี่ย ๆ นิ้วอยู่กับที่ซ้ำ ๆ บน touch pad โดยไม่ต้องลากไปทั่ว เลยเอาวิธีนั้นมาสอนมัม....
  ถัดมาสอนวิธีเลื่อนตำแหน่งเคอร์เซ่อร์ และ Scrolling ด้วยแป้น “ลูกศรสี่ทิศ” จากนั้นสอนให้รู้จัก Tab Online Status, Contacts, Recent, Call, VDO Call แล้วก็ทดสอบ วีดีโอคอล ไปหาเรา สามีก็รับสายและทดสอบการพูดคุย ปรับตำแหน่งกล้อง.....พอเครื่องสองตัวมาอยู่ใกล้กัน ลำโพงมันก็หอน น่ารำคาญ เลยให้เธอส่งข้อความไปหาน้าเอมม่าซึ่งขณะนั้นแสดงสถานะ Away มัมพิมพ์ว่า “ฉันอยากคุยด้วย...อยู่ตรงนั้นรึป่าว”  (เธอบอกว่าไอไม่สนใจว่าจะเป็นอักษรตัวใหญ่หรือเล็กนะ) เราก็โอเค ไม่ว่าไร....  ไม่กี่อึดใจน้าเอมม่าก็โทรมา เราให้เธอคลิกที่ ไอคอนโทรศัพท์สีแดงเพื่อรับ แล้วพี่น้องสองสาวก็หัวเราะชอบใจที่ในที่สุดก็ได้เห็นหน้ากันซะที หลังจากที่ลุ้นอยู่สองสามวัน.....ซักครู่หนึ่งเราเห็นน้าเวอร์จิเนียร์ออนไลน์ เราก็นึกสนุกบอกว่าเดี๋ยวจะเชิญน้าเวอร์จิเนียร์เข้ามาคุยด้วยอีกคนนะ... สองสาวก็ทำตาโตทำนองว่า ฮ้า! ทำได้ด้วยเหรอ....บอกให้เธอคลิกวีดีโอคอลไปหลายครั้งแต่น้ายังไม่มารับสาย แสดงว่าไม่อยู่หน้าเครื่อง....สักพักเธอก็โทรเข้ามา พอคลิกรับวีดีโอ ก็เห็นแต่รูป อยู่นาน แล้วก็หลุดไป สาเหตุเพราะสัญญาณ WIFI ไม่แรงพอ...แด๊ดกับสามีเรา ก็มากทักทาย พูดคุยกับน้าเอมม่า ที่หน้าจอด้วย...น้าเอมม่านั้นพูดฟังจับใจความค่อนข้างยาก (พอ ๆ กับ “มัม” เลย) เธอพูดเหย้าแหย่เราเล่น ว่าให้ดูแลพี่สาวเธอให้ใช้คอมเก่ง ๆ ด้วยนะ และต้องอดทนกับเธอสักหน่อย.....อืม! ง่ายที่จะสอน แต่ “ยากส์” ตรงที่ พวกเขาไม่สามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ทั้งหมดในเวลาอันสั้น หรือแค่เพียงครั้งสองครั้ง จำเป็นต้องหมั่นฝึกฝน ทั้งทักษะ การใช้คีย์บอร์ด เม้าส์ ทัชแพด...
  พอใกล้ ๆ สี่โมงเย็น สามีส่งสัญญาณว่าอยากกลับ แต่เรายังไม่อยาก...อยากดูเธออีกสักนิดเผื่อว่าจะติดขัดการใช้งานตรงไหนหรือเปล่า จะได้ Retraining เดี๋ยวนั้น จะทำให้จำได้ไวขึ้น  แต่ว่ามันเป็นเวลา Time for beers เราจึงบอกเธอไปว่า “ก่อนไอจะกลับ ยูลองแสดงวิธี log in ให้ไอดูอีกครั้งได้ไหม” เราพยายามจะทบทวนสิ่งที่สอน อย่างน้อยที่สุด ต้องพิมพ์พาสเวิร์ด ให้ถูกต้องซะก่อน ถึงจะเข้าเครื่องได้....เธอทำให้ดู เราคอยบอกว่า.... “อย่าลืม Capital letter R, H” ….สรุปว่าเธอทำสำเร็จ.... เธอลูบหลังไหล่ “ยูเป็นครูที่ดีมาก ๆ ขอบใจแพท” นั่นแหละวิธีที่ฝรั่งเขาพูดกัน ถ้าเป็นคนไทยทั่ว ๆ ไปเมื่อมีใครทำอะไรให้เรา ก็คงได้แต่พูดคำว่า “ขอบคุณ” แต่ฝรั่งมีคำพูดเยอะกว่านั้นอีก......
  สองสามวันผ่านไป เราก็คิดว่าทุกอย่างราบรื่นดี....แต่สามีก็ได้รับโทรศัพท์จาก “มัม” ว่าช่วยมาดูให้หน่อย เราไม่ทันได้ฟังเรื่องราวเพราะมัวยุ่งอยู่กับการค้นหาวิธี “ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ระยะไกล” โดย Download Team Viewer 10 มาไว้ในเครื่องเรียบร้อย แล้ว และกำลังอ่านวิธีตั้งค่าทั้งสองเครื่อง โดยใช้เครื่องสามีเป็นตัวทดสอบ ที่ทำเช่นนี้เพราะเราคิดว่าบางครั้งเธออาจจะลืมวิธีใช้งาน (เหมือนกับที่เคยลืมวิธีโทรออกมือถือ) หรืออาจลืมพาสเวิร์ดเครื่องของเธอเอง และอีกอย่าง เราคิดจะช่วยสอนให้เธอใช้งานเฟสบุค บางครั้งอาจช่วยเธอโพสต์รูปที่เราถ่ายให้เธอ โดยไม่ต้องไปที่บ้านของเธอ.....
  สามีบอก พรุ่งนี้จะไปหา “มัม”....ดังนั้นจึงพิมพ์วิธีการตั้งค่า Remote assistance, ดู Computer name และ IP address ของเครื่องเธอให้สามีไปจัดการให้ และบอกให้แก้พาสเวิร์ดจากตัวพิมพ์ใหญ่เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด จะได้ไม่มีปัญหา....แต่ปรากฏว่าไปชั่วโมงเดียวก็กลับ แล้วบอกว่า แก้พาสเวิร์ดไม่ได้ หา IP address ไม่เจอ ได้มาแค่ Computer name ซึ่งเราทำอะไรต่อไม่ได้เลย แทนที่จะส่งข้อความมาบอกก่อนว่าหา IP address ไม่เจอ เราจะได้บอกให้ยกเครื่องมาเลย.....กลายเป็นว่าต้องให้เขากลับไปเอาเครื่องมาอีกในวันรุ่งขึ้นอีก......เปลืองแก๊สมั๊ยล่ะ?
  ผลการทดสอบการใช้ TeamViewer 10 ควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลนั้น สรุปว่าไม่เหมาะกับ “มัม”  เพราะกลายเป็นว่าต้องเพิ่มภาระหลายอย่างให้เธอมากกว่าเดิม เช่น ต้องสอนวิธีเปิดโปรแกรมนี้ขึ้นมาก่อน แล้วต้องบอกรหัสผ่านชั่วคราวที่ปรากฏขึ้นมาทุกครั้ง เพื่อใช้คีย์ลงเครื่องฝั่งเราจึงจะสามารถเข้าควบคุมเครื่องของเธอได้ เสมือนหนึ่งเรานั่งที่หน้าจอ laptop ของเธอเอง... (เวอร์ชั่นแรก ๆ สิบกว่าปีก่อน ที่เคยใช้ไม่มีการใช้รหัสผ่าน ใช้เพียง IP address ของเครื่องแค่นั้น แต่ก็นั่นแหละมันง่ายซะจนไม่ปลอดภัย).... ปัญหาอีกอย่าง ในกรณีที่เธอใส่รหัสล็อกอินผิด เธอจะไม่สามารถทำอะไรได้ต่อเลย......คืนนั้นเราจึงต้องแสวงหาวิธีใหม่ที่เข้าใช้งานเครื่องของเธอโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งดูและอาจทำตามที่เราบอก เพราะเราจะเห็นหน้าจอเดียวกัน
 
สอนแม่ผัวใช้คอมพิเตอร์
ที่สุดเราก็มาจบที่เรื่องพื้นฐานของ ระบบปฏิบัติการ Windows ที่มี Feature Remote Assistance ให้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปดาวน์โหลด App. อื่น ๆ นั่งอ่านหลาย Blogs หลาย Forums และได้ลองทำตามที่ว่ามาทั้งหมด แต่ก็ล้มเหลวตลอด แต่มีคำถามข้อหนึ่งค้างอยู่ในหัว คืออยากถามว่า “แล้วไอ้ที่ (พวกมึง ๆ ทั้งหลาย) เขียนกันได้เป็นวรรคเป็นเวร ราวกับเป็นพหูสูต แต่ก็แบบ สุกเอาเผากิน ทำให้ (ตู) ข้องใจว่า จริง ๆ แล้วมันใช้กับ คอมพิวเตอร์บ้าน/Stand alone หรือแค่ใช้ในเครือข่าย LAN ตามบริษัทต่าง ๆ” ต้องบอกให้ชัด ๆ คนอ่านกันทั่วโลก คนใช้คอมตามบ้านเรือนก็มีถมถืด....การเขียนแค่เพียงสนองความอยากของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ใช้คอมฯ มีหลายระดับฐานความรู้ แทนที่จะได้รับการ “สรรเสริญ” กลายเป็น “ทำคุณบูชาโทษ” ไปซะฉิบ....
 ความข้องใจนี้ทำให้ไม่หยุดที่จะค้นหาต่อไปเพื่อพิสูจน์สมมติฐานของตัวเอง จนเวลาได้ล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่ม...เวลานอนน่ะซิ แต่ก็ยังพะวง บังเอิญเจออีกหนึ่งข้อมูล เป็นการตอบคำถามจาก ไมโครซอฟท์ นี่แหละ หลังจากอ่านไปได้สามสี่บรรทัด ...นี่แหละ...คำตอบที่ต้องการอยู่ที่นี่เอง (ขอบคุณ) ตกลงว่าที่อ่านไปทั้งวัน ดูวีดีโอไปทั้งวันก่อนหน้านั่น มันสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย LAN.....ผู้ตอบคำถามนี้ได้อธิบาย “ชัด ๆ” ถึงวิธีการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของตัวเอง จากเครื่องอื่น “Allow Remote Desktop connections from outside your home network” นี่เองที่ทำให้เข้านอนได้โดยไม่กังวล และ หยุดความคิดที่จะควบคุมเครื่องของ “มัม” เอาไว้ก่อน....เพราะเรื่องนี้มีขั้นตอนมากเกิน...ที่สำคัญ! เน็ทที่บ้านความเร็วเหลือแค่ 2 Mbps มันน่ารำคาญ หงุดหงิด....รอ วันที่ 21 ได้ความเร็ว 10 Mbps กลับมาก่อนค่อยทำต่อละกัน.....
           อ้อ...มีเรื่องค่อนข้างแปลกใจว่า ใน Help Topic ของ Windows เราก็ได้อ่านจนสิ้นไส้พุง แต่ก็ไม่ได้พูดจาชัดเจนแบบในฟอรั่ม ถาม-ตอบ นี้...เฮ้อ! คิด ๆ แล้วเหนื่อยกว่าตอนแก้ปัญหา ระบบคอมพิวเตอร์ถูก “วางยาพิษ” เมื่อปี 2544 ซะอีก ครั้งนั้นต้องใช้ทั้ง “กำลังภายในและภายนอก” นอนหลังเที่ยงคืน ทุกคืนเพื่อหาวิธี “แก้พิษ” อยู่เป็นอาทิตย์....หลังการ “แก้พิษ” ครั้งนั้นได้ ทำให้ “ทางเดินชีวิตเปลี่ยน” ไปเยอะเลยยย...
            “มัม” โทรมาบอกว่า จะมาเอาเครื่องเองที่บ้านของพวกเรา นั่นคงเป็นเพราะ กลัวว่าเราจะ ทนควันบุหรี่ไม่ไหว ที่บ้านนั้น ทั้ง “มัมและแด๊ด” สูบบุหรี่ในบ้าน แถมเปิดเครื่องปรับอากาศ ไม่มีการระบายอากาศเลย...ก็ดี...มาที่บ้านเราจะได้สอนเธอนาน ๆ เอาแค่ใส่พาสเวิร์ดให้ถูกก่อน ซึ่งไม่น่ามีปัญหา เพราะเราได้แก้ไขให้พิมพ์อักษรตัวเล็ก ทั้งหมด ส่วน Skype ก็มีไอคอน คุยเป็นกรุ๊ป โผล่มาให้คลิกได้ง่าย ๆ ไม่ต้องเรียกทีละคนเข้ามาในสาย มาถึงเฟสบุค เราก็ทำ Shortcut ไว้ที่หน้า Desktop พอล็อกอินเข้ามาได้ ก็คลิกสองครั้งไปที่หน้า FB Home page สามารถดูว่าเพื่อน post ไรบ้าง ถ้าอยาก Like หรือ Comment ทำไง แค่นั้นก็หรูแล้วละสำหรับคนวัยแปดสิบสองปี....ส่วนการ Search net ดูนู่น นี่ นั่น ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ Windows 8.1 แค่คลิก Icon ต่างๆ ที่มีเต็มพรึ่บสองสามหน้าสกรีน มันก็จะวิ่งไปที่แต่ละเว็บเลย เราก็แค่บอกว่าจะปิด หรือออกจากเว็บตรงไหน....ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง สุดท้าย...คือ “การสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยเสียง” เราได้ลองบ้างแล้ว แต่มันยังติด ๆ ขัด ๆ อยู่ อาจเป็นเพราะสำเนียงเรามันไม่ใช่ฝาหรั่งละมั้ง??????
            วันที่ 21 มิ.ย. Father's Day พวกเราพา "แด๊ดกับมัม" ไปทริปเล็ก ๆ ขับรถไปแค่ชั่วโมงเดียวชมเมืองเก่าที่ Ste. Genevieve ขากลับส่งพวกท่านเรามีเวลาเพียง 10 นาทีแนะนำการใช้งานอีกรอบ และต้องรีบกลับ (อีกแล้ว) และจริง ๆ เธอก็อ่อนเพลียจากการเดินเที่ยว สองสามร้อยเมตรมากพอ ๆ กับเราน่ะแหละ จึงปล่อยเธอพักผ่อน....พอวันที่ 24 มิ.ย 15 เราก็ได้เห็น "แม่สามี" โพสต์คอมเม้นท์ บนภาพแชร์ของน้าเอมม่า...ไม่อยากะเชื่อสายตาตัวเอง... ว้าว!!! มัม...ในที่สุดยูก็ทำได้....ไอหวังว่ายูจะไม่ลืม How to?

22-Jul-15  ขอกลับมาอัพเดทสถานะการณ์ เพิ่มเติม.....

ปรากฎว่าเกิดปัญหาหลายครั้ง ระหว่างที่แม่สามีใช้ คอมพิวเตอร์  ลูกชายต้องวิ่งไปดู และช่วยแก้ไข ลูกสะใภ้ก็เลยต้องกลับไปทบทวน เรื่องการใช้  TeamViewer แบบเอาให้จบ...ขณะนี้ เครื่องคอมของแม่สามี ได้ "ถูกควบคุมตัว" ไว้โดยลูกสะใภ้เรียบร้อยโรงเรียนไทย แล้ว....ไม่ว่าเวลาไหนที่เธอประสบปัญหา แค่โทรมาบอก เราก็ ใช้เจ้า TeamViewer 10 เข้าไปควบคุมเครื่องของเธอ เสมือนหนึ่งเรานั่งอยู่หน้าจอนั้นเลย....



Tuesday, June 23, 2015


              
            เคยได้ยินคำนี้บ่อย ๆ ตั้งแต่เป็นสาวรุ่นกระเตาะ.. “แม่ผัวกับลูกสะใภ้” ฟังผิวเผินเหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วคนที่พูดคำนี้ ร้อยละเก้าสิบเก้า มักจะสื่อความหมายของความสัมพันธ์ใน “เชิงลบ” คล้าย ๆ “ขมิ้นกับปูน” อะไรทำนองนั้น  เนื่องจากผู้หญิงสมัยก่อน (กว่าสามสิบปี) ได้รับการศึกษาน้อย หรือจบแค่ภาคบังคับ หลังออกจากโรงเรียนไม่นาน อายุได้สัก 15-16 ก็และดูเป็นสาวสะพรั่ง เนื้อสาวแตกเปรี๊ยะ ๆ หนุ่ม ๆ ก็มาตอมกันหึ่ง....เมื่อถึงคราวออกเหย้าออกเรือน คือ แต่งงาน ก็ต้องไปอยู่บ้านพ่อแม่สามี เรียกกันว่า “แต่งเข้าบ้าน” และแม่ผัวก็คาดหวัง นู่น นี่ นั่น....จากสะใภ้ นี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่า “แม่ผัวกับลูกสะใภ้” แม่ผัวคงจะร้ายไม่ใช่เล่น ส่วนลูกสะใภ้คงต้องกล้ำกลืนฝืนทน ๆๆๆ รอจนกว่าจะได้แยกไปมีเรือนชานเป็นของตัวเอง....ถ้าสะใภ้นางไหน “งานบ้านการเรือน” ไม่ขาดตกบกพร่อง แม่ผัวก็คงปลื้มกันไป แต่เมื่อไหร่ที่แสดงความ “ซกหมก” หรือ “สันหลังยาว” หรือ เอาแต่ “ข่มผัว” ให้แม่ผัว (จอมเคี่ยว) เห็น เธอก็คงต้องสวมบท “นางร้าย” ไปตามระเบียบ  แต่คนนอกบ้านจะไม่มีทางรู้เลยว่าใครเล่นบทไหน......ถ้าทั้งแม่ผัว และลูกสะใภ้ ไม่เอาไปโพนทะนา....แล้ว
แต่หนุ่มสาวยุคหลัง ๆ ได้รับการศึกษามากขึ้น ๆ มีงานทำ (ถ้าไม่เกี่ยงงาน)  มีรายได้เป็นของตัวเอง แถมการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านซื้อรถก็แสนจะง่ายดาย.....เมื่อแต่งงานก็แยกไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใต้ชายคาของพ่อแม่อีกต่อไป หรือแม้จะแต่งเข้าบ้านสามีก็ต้องออกไปทำงานช่วยกันหาเงิน ไม่ได้นั่งเป็นแค่ “แม่บ้านศรีเรือน” เหมือนสมัยก่อน
เมื่อมาคิด ๆ ดู ผู้หญิงทุกคน มีสิทธิ ที่จะอยู่ในฐาน “ลูกสะใภ้” แล้วอัพเกรด นั่งแท่น “แม่ผัว” (หากได้ลูกสาวมาเชยชม) ใครที่ยังไม่มีโอกาส “เล่นบทแม่ผัว” ก็ลอง ๆ มาคิดเล่น ๆ ดูว่า ตัวเองอยากเล่นบทแม่ผัวแบบไหน?
เราเองก็ เคยคิด ว่าถ้าวันหนึ่งได้แต่งงาน เป็นตายยังไง...ฉันก็จะไม่อยู่บ้านพ่อแม่สามี เพราะคิดว่าตัวเองมีปัญญาซื้อบ้านไง.....ครั้นพอ สว.....“สูงวัย” ก็เริ่มคิดอีกว่า เอ... “ลูกเขยแบบไหนนะที่ลูกสาวคนเดียวของฉันจะไปคว้า?” และ “ถ้าพวกเขาไม่มีปัญญาซื้อบ้านอยู่เอง ฉันจะยอมให้พวกเค้ามาร่วมชายคารึเปล่านะ?” และ “ถ้าเจอลูกเขย ซกหมก เกลียดคร้าน สูบบุหรี่ ดื่ม ชอบเที่ยวกลางคืน.....ฯลฯ แล้วฉันจะรับไหวมั๊ยนะ?” ฯลฯ....อะไรทำนองนี้ (แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครมาตกหลุมรักลูกสาวของเราสักที)
ใครเลยจะคาดคิด!!!!...สองสามปีต่อมาตัวเราเอง ต้องมากลายเป็น “สะใภ้ใหม่ต่างแดน” ตอนอายุใกล้เกษียณ....แม้ว่าสามีจะมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็คอยดูแลพ่อแม่ของเขาอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะพวกท่านอายุกว่าแปดสิบปี และบางครั้งก็ออกจะหลง ๆ ลืม ๆ เช่น ลืมวิธีโทรมือถือ ลืมปิดประตูบ้านจนหมาน้อยแสนรักหนีออกไปเดินเที่ยวข้างนอก กว่าจะรู้ตัวหมาน้อยก็กลับจากทริปท่องเที่ยวพร้อมกับความหิว บางครั้งท่านก็หลงเอาก้นบุหรี่ทิ้งลงในถังขยะในบ้านจนกระทั่งสัญญาณจับควันร้องเตือนถึงจะรู้ตัว  เป็นอาทิ
ก่อนแต่งงาน...เมื่อได้ยิน ว่าที่สามีในขณะนั้น เล่าอย่างนี้ เราก็ตระหนักในทันทีว่า ถ้าให้สามีย้ายไปอยู่เมืองไทย พ่อแม่ต้องลำบากไม่น้อย ดังนั้นเราจึงยินดีส่งเสริมและสนับสนุนให้สามี “เป็นลูกกตัญญู” ได้ดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิดต่อไป (ในขณะที่น้อง ๆ อีกสี่คนก็ไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง และอยู่คนละเมือง)
คืนวันที่ 7 ธันวาคม 2014  (หลังจากแต่งงานได้สองสัปดาห์) ครั้งแรก....ที่เดินทางจากเมืองไทยมาถึงบ้านสามีในอเมริกา ตอนหกโมงเย็นของวันจันทร์ เรากินอาหารเย็นกันแบบง่าย ๆ พวกอาหารกระป๋อง เสร็จแล้วก็เข้านอนเพราะอ่อนเพลียจากการเดินทางร่วมสามสิบชั่วโมง พอรุ่งเช้าวันอังคาร แม่สามีโทรมาเช็คว่าถึงบ้านกันหรือยัง สามีบอกแม่ไปว่า วันอาทิตย์จะพาสะใภ้ไปหา (ซึ่งนั่นก็อีกหนึ่งสัปดาห์) แล้วคุยกันยังไงไม่รู้ ได้ยินสามีพูดว่า  “แพทนอนที่โซฟาเมื่อคืน”  จริง!...เราสองคนไม่ได้นอนเตียงเดียวหรือห้องเดียวกันตั้งแต่แต่งงาน เพราะสามีนอนดิ้น+สะดุ้งทุก ๆ สามวินาที (เป็นโรคชนิดหนึ่ง) แถมมีโกรน เป็นระยะ ๆ .....เมื่อแม่สามีรู้เรื่องว่าผัวเมียนอนด้วยกันไม่ได้เธอก็เรียกให้ไปขนเครื่องนอนจากห้องชั้นล่าง ฝรั่งเรียกกันว่า Basement ซึ่งเป็นเตียงนอนของลูก ๆ สมัยที่ยังไม่ออกเรือน (ลูกห้าคนมีห้องของตัวเอง และสามีก็ขนของในห้องของตัวเองออกมาแล้วตั้งแต่แยกบ้าน)
ดังนั้นเราจึงเลื่อนการพบปะพ่อแม่ที่บ้านเร็วขึ้น จากวันอาทิตย์ กลายเป็น วันพุธ เพื่อไปขน “สมบัติเก่า” เนื่องจากสามีขายบ้านหลังที่อยู่ในเมือง ด้วยเหตุผลว่า เล็กเกินไป แล้วเพิ่งจะซื้อหลังใหม่ออกมานอกเมืองได้เพียงขวบปี เขาจึงยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมากนัก เพราะคิดว่าต้องหาเมียให้ได้ก่อนค่อยให้เมียมาแต่งบ้านเอาเองตามใจชอบ ดังนั้นห้องนอนที่ว่างอีกห้องจึงยังโล่งเตียน ไม่มีอะไรนอกจาก เก็บลังของสะสม นิดหน่อย.... (ที่จริงควรเป็นห้องนอนแขก)  สิ่งที่ขนมามี เตียงพร้อมที่นอน ผ้ากันเปื้อน ผ้าปูที่นอน ผ้ารองผ้านวม (ผ้านวมมีแล้ว) ปลอกหมอน ตู้คาบิเนท (อย่างดี) สี่ลิ้นชัก ทั้งหมดขนหลายรอบ
ต่อมาอีกสองสามวันพวกท่านก็มาหาที่บ้าน หอบของขวัญกล่องเบ้อเร่อพร้อมการ์ด สำหรับต้อนรับสะใภ้อย่างเป็นทางการ ท่านบอกให้เปิดดู...มันเป็นเครื่องผสม/ปั่น (Electric Blender) ยี่ห้อ GE รุ่น “สารพัดนึก” เพราะมีถึง 8 Functions ทำได้สารพัดสารพัน มาพร้อมกับ Cook Books.....การให้แบบนี้ดูเหมือนว่ามี “นัยสำคัญ” (แอบคิด)
อาทิตย์ถัดมาท่านก็โทรมานัดให้ออกไปกินข้าวที่ Gordonville grill ใกล้บ้านของเรานั่นเอง กินข้าวอิ่มแล้วก็แวะมาดูที่บ้านพวกเราว่าจัดห้องยังไง ขาดเหลืออะไรบ้างหรือเปล่า.....อาทิตย์ถัดมาท่านก็นัดออกไปกินอาหารที่ Red Lobster พอตอนจะแยกย้ายกลับ ท่านก็บอกสามีให้ไปยกของที่ท้ายรถ มันคือโคมไฟโต๊ะข้างเตียง สำหรับลูกสะใภ้ นั่นเอง (ปลื้มซะ)
สิบห้าวันผ่านไปก็ถึงวัน คริสต์มาส ท่านก็นัดล่วงหน้าให้ไปทานอาหารที่บ้าน ท่านได้สั่งอาหารจากภัตตาคาร สำหรับพวกเราสี่คน เพราะไม่มีลูก ๆ คนอื่นมาเยี่ยมพ่อแม่เหมือนครอบครัวอื่น.....สามีเราเตรียมของขวัญสำหรับท่านคนละกล่อง วางไว้ที่ใต้ต้นคริสต์มาสที่ “มัม” ประดับประดาไว้อย่างสวยงาม วันนี้เปิดไฟกระพริบด้วย โต๊ะอาหารแบบกลมถูกจัดเตรียมอย่างประณีต Full Option สองแม่ลูกกินกันไปคุยกันไป มัมคุยเก่ง คุยไม่หยุด ส่วน แด๊ด ก็คอย อือออ รับลูก...หลังจากอิ่มหนำสำราญก็ถึงเวลาเปิดของขวัญ สามีได้ Gift Card เราได้ Gift Card และซองที่มีเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง ( “มัม” คงเกรงว่าสะใภ้จะไม่มีเงินดอลฯ ติดกระเป๋า!!!!!)     เมื่อรวมมูลค่าแล้วได้เท่ากันทั้งสองคน

ถึงตอน “มัม” เปิดกล่องของขวัญบ้าง คีธให้ “หนังสือ” เกี่ยวกับประวัติของเมือง Cape Girardeau ส่วน “แด๊ด” ได้ “ไปป์” อันเล็ก ๆ สำหรับสูบบุหรี่ เราถ่ายวีดีโอจากมือถือขณะที่ท่านกำลังสาระวนกับการแกะกล่องของขวัญ เห็นทั้งสองท่านมีความสุข เราก็ดีใจ แด๊ด เอาแต่พูดว่า “ขอบใจคีธ ขอบใจแพท ๆ” ไม่ขาดปาก ครั้นพอหันไปเปิดอีกกล่องที่     “มัม” เตรียมไว้ให้ “แด๊ด” ก็ยังพูดอีกว่า “ขอบใจคีธ ขอบใจแพท ๆ” แม้ว่า “มัม” จะพยายามบอกว่า กล่องนั้นเป็นของเธอให้ “แด๊ด” ตะหาก แต่ “แด๊ด” ก็ไม่ได้ยิน...(เราถ่ายวีดีโอไปขำไป) 
สามีเล่าให้ฟังว่า “แด๊ด” พักหลัง ๆ พูดน้อยลง เก็บตัว และหลงลืมง่าย ทำให้ “มัม” เหงาไม่มีคนพูดคุยด้วย นี่เองกระมังที่เป็นสาเหตุที่ “มัม” โทรหาลูกชายทุกวัน ๆ ละ สองสามครั้ง สามีก็บ่นกับเราว่าจะคุยอะไรหนักหนาก็ไม่รู้ เราต้องคอยเตือนเขาว่าอย่าแสดงความรำคาญให้เธอเห็น พ่อแม่ทุกคนเมื่อแก่ตัว ไม่มีอะไรทำเหมือนตอนที่พวกเขายังอยู่ในอาชีพ เป็นธรรมดาที่ต้องคิดถึงลูก ๆ และอยากพบอยากเจอ อยากพูดคุย เราเล่าเรื่องของครอบครัวตัวเองเป็นตัวอย่างให้สามีฟัง เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้คิดเอาเอง เราตบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “ยูโชคดีกว่าไอที่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ในเวลาที่พวกท่านต้องการ แม้เพียงการพูดคุยพวกเขาก็อุ่นใจ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว หรือรอวันที่จะจากโลกไป”.....ถึงแม้ว่า “แด๊ด”จะพูดน้อย แต่ท่านก็พยายามที่จะโอภาปราศรัยทุกครั้งที่เราพบปะกัน เพื่อให้สะใภ้ใหม่ไม่อึดอัด เมื่อเราพยายามทำอะไร หรือพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ท่านก็จะพูดว่า “ดีมากแพท ๆ, ยูทำได้ดีแพท” ประมาณนี้
ก่อนเราสองคนจะกลับ มัมให้เราเอา Bacon ยักษ์ที่เหลือครึ่งก้อนกลับมาด้วย เพราะพวกท่านไม่ได้ทำอาหารกินเอง จึงไม่ต้องการเก็บไว้......
ทุก ๆ วัน มัม จะโทรมาถามลูกชายว่า สะใภ้ใหม่ เป็นยังไง กินได้ นอนหลับ ดีมั๊ย วันนี้ทำอะไรกินกัน คิดถึงบ้านหรือเปล่า ประมาณนั้น ลูกชายก็มีหน้าที่รายงานทุกวัน......ในเดือน มกราคม ความหนาวเย็นเริ่มมากขึ้น ๆ ลูกชายรายงานว่าเรารู้สึกหนาวมากเมื่อนั่งเล่นคอมฯ ที่ห้องนั่งเล่น (ซึ่งมันกว้าง และเพดานสูงกว่าห้องอื่น ๆ ) แม้ว่าฮีตเตอร์ในบ้านจะทำงานตลอดเวลา.....มัมก็เรียกให้ลูกชายไปเอาเครื่องฮีทเตอร์แบบพกพามาให้เราใช้.....และอาทิตย์ถัดมาก็ซื้อ ฮีทเตอร์แบบพกพาอีกตัวให้ลูกชายไว้ใช้ในโรงจอดรถเวลาออกไปนั่งสูบบุหรี่ ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง  (สามีต้องสูบบุหรี่ที่นั่นเพราะเราแพ้ควันบุหรี่อย่างสาหัส นี่เป็นข้อตกลงก่อนการ “ตกล่องปล่องชิ้น”)
อเมริกา....ย่างเข้าเดือนที่สอง เราก็ไม่อยากออกจากบ้านไปซื้อของกับสามี... ชอบอยู่บ้านมากกว่า ข้างนอกหนาว เมื่อสามีแวะไปที่บ้านพ่อแม่เพื่อเอาขนมที่เราทำไปให้เขาก็ไปคนเดียว บางครั้งก็ต้องพาแม่ไปหาหมอตามนัด เราไม่ได้ไปด้วย ดังนั้นพวกท่านจึงต้องเป็นฝ่ายขับรถมาเยี่ยมลูกสะใภ้แทน (คงคิดถึงน่ะ อิอิ...เว่อร์แล้ว) ทุกครั้งที่มาท่านก็จะขอดูห้องนอน ดูว่ามีอะไรใหม่ ๆ หรือเปล่า ผ้าม่านที่ซื้อใหม่สีอะไร....ผ้าม่านบางๆ สีฟ้า าคาถูกๆ สามร้อยบาทที่เราซื้อทางเน็ทกลับเป็นที่ถูกอกถูกใจมัมยิ่งนัก เธอชอบสีฟ้าที่สะท้อนไปที่เพดาน ทำให้ห้องดูมีสีสัน (จริง ๆ ถ้ายังไม่สั่งซื้อ “มัม” ก็คงจัดการซื้อให้ร้อยเปอร์เซ็นต์)
วันหนึ่ง หลังจากสามีวางสายโทรศัพท์ เขาก็เดินออกจากห้องทำงานมาหาเราที่ห้องนั่งเล่น และรายงานว่า มัมเสนอที่จะยก “รถเชพโรเลท” คันที่ใช้อยู่ให้พวกเรามาใช้จะได้สะดวกสบายกว่าการใช้รถกระบะ (เก่า ๆ) แล้วพวกเขาจะซื้อคันใหม่.... เราพูดว่า “อืม..ก็ดีซิไอจะได้ขับ เพราะไอไม่คิดจะขับกระบะของยูอยู่แล้ว”  แต่อีกสัปดาห์ถัดมา สามีเราก็ “ได้คิด” ว่ายังไม่ควรจะมีรถเพิ่มอีกคันตอนนี้ เพราะต้องรับภาระทั้งภาษีประจำปี และค่าอินชัวร์รันซ์ อีกรวมสองคันเป็นเงินไม่น้อย ไหนจะต้องจ่ายค่ายื่นคำขอวีซ่าถาวรและอื่น ๆ ให้เราอีก ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธ มัม ไป ตามเหตุผลที่ว่า แล้วสองแม่ลูกก็พูดคุยไรกันอีกไม่รู้สองสามรอบวันนั้น.....วันถัดมามัมโทรมาบอกว่า “งั้นไอจะให้เงินพวกยูเดือนละ 400 เหรียญละกัน”....ลูกชายงี้หน้าบานเป็นจานเชิงเลย (จริงเราอยากได้รถมากกว่า แต่สามีไม่ชอบเชพโรเลท (เขาเล็ง บีเอ็มดับเบิลยูไว้แล้วก่อนแต่งงาน)

พอย่างเข้าเดือนที่สาม เราเริ่มหัดทำขนมอบ “ของโปรด” ที่เคยแต่ซื้อกิน แต่ตอนนี้มีอุปกรณ์วัตถุดิบพร้อม แค่เปิดหาสูตรก็ลงมือทำ ยกโน้ตบุคไปวางที่เค้าเตอร์ครัวเลย ทำไปถ่ายรูปไป อันไหนชิมแล้วอร่อยก็แบ่งส่งไปให้พวกท่านหลายครั้ง หลังจากบริโภค ท่านก็จะโทรมาบอกลูกชายว่า “ขนมแพทอร่อย” คงตามมารยาทน่ะแหละ....การทำขนมอบไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แค่มีเตาอบ อย่างอื่นง่ายเลย..


วันหนึ่งท่านแวะมาหาหลังกลับจากโบสถ์... ท่านได้โทรมาแจ้งลูกชายก่อนว่าจะมานะ...เราก็คิด เอ..วันนี้ทำไรให้พ่อแม่กินดีหว่า...โอ...นึกได้เพิ่งได้โกจิเบอร์รี่ที่สั่งมาครึ่งโลทางเน็ทมาเมื่อหลายวันก่อนและได้ลองต้มกินมันอร่อยใช้ได้เลย ได้การละ จัดแจงต้มน้ำโกจิเบอร์รี่ ใส่วานิลลา น้ำตาลทราย เกลือป่น (สูตรส่วนตั๊ว...ส่วนตัว) และเตรียมของว่าง เป็นข้าวโพดแผ่นกรอบ เรียกว่า Tortilla Chips แต่วันนั้นไม่มี “ดิปปิ้งซอส” (สามีจิ้มหมดไปแล้ว)...ดูแล้วยังพอมีเวลาเลยหาสูตรจากเน็ท เอ้า..เจอพอดี แต่ส่วนผสมเราก็ดันมีไม่ครบอีก...เอาน่ะ คิดว่าคงอร่อย ดีกว่ากินสแน็คเปล่า ๆ ว่าแล้วก็ไม่รอช้าจัดการ ผสมทุกอย่าง “แบบกะๆ เอา แล้วชิมดู จนใช้ได้” มี มายองเนส น้ำมะนาว พริกไทยป่น เกลือนิดหน่อย ใส่พาสเลย์แห้งลงใบให้ดูมีสีเขียว ๆ แล้วคน ๆ จนเนียนดี ตักใส่ถ้วยแก้วใบเล็กสุด วางในจานสแน็คใบใหญ่ ดูสวยงามเชียวหละ...สักครู่ท่านก็มาถึง ทักทายกอดกัน ประคองให้มัมนั่งที่โซฟา....เสร็จแล้วเราก็เข้าครัวเตรียมเสิร์ฟเครื่องดื่มและของว่าง ....หลังจากกินไปสองสามคำก็ได้ข้อสรุปว่า เป็นที่ถูกอกถูกใจพ่อแม่สามียิ่งนัก...มัมถามว่า “ดิปปิ้งซอส” มีสูตรหรือเปล่าใส่อะไรบ้างอร่อยมาก.. เราบอกทำเองตามที่มีของ ดังนั้นไม่เหมือนสูตรต้นตำหรับ ท่านก็บอก “จำสูตรนี้ไว้เลยแพท” (สำหรับเราเองนะ แค่จิ้ม “มายองเนสเปล่า ๆ” ก็อร่อยแล้วละ) น้ำโกจิเบอร์รี่ ทั้งแด๊ดและมัม ยกดื่มแบบไม่ขาดตอน (ดูท่าว่าแก้วนั้นจะเล็กไปซะแล้ว ไว้แก้ตัวใหม่รอบหน้าละกัน) แล้วมัมก็ถามว่า “นี่น้ำอะไร รสชาติดีมากเลย หอมกรุ่น ๆ ละมุนลิ้นดีจัง!!!) เราได้ทีพรีเซ้นต์ เพื่อเก็บคะแนนเลย “โอ้ นี่น้ำโกจิเบอร์รี่ ไอเพิ่งต้ม มันดีต่อสุขภาพ บำรุงตับ ไต ปอด หัวใจและสมอง ช่วยเรื่องความจำ แด๊ด ควรดื่มประจำนะ”.....โอ้หรอ? ดีจัง อร่อยด้วย มัมพูดไปยกแก้วโกจิขึ้นส่องดูแบบพินิจ  (นี่น่าจะได้สัก 2 คะแนน)......วันหลังเมื่อส่งขนมไปให้ก็ต้มน้ำโกจิเบอร์รี่ใส่ขวดแก้วใหญ่ไปให้ที่บ้านด้วย...(นี่น่าจะได้ 5 คะแนน)

ที่บ้านมัมเลี้ยงพูดเดิลเพศผู้ไว้ตัวหนึ่ง ชื่อเจ้าโทบี้ มันน่ารัก แสนรู้ และช่างอยากรู้อยากเห็นไปซะทุกเรื่อง มันรักสามีเรามาก มันจะดีใจสุด ๆ ถ้าเห็นพวกเราเข้าบ้านมา.....เนื่องจากเราเป็นพวก “รักพุดเดิ้ล” ดังนั้น เจ้าโทบี้จึงเข้ากับเราได้เป็นอย่างดี ไม่นานนัก มันก็ตกหลุมรักเรา มากว่าที่เคยมอบใจให้คุณสามีเราซะอีก....นี่ทำให้เราได้อีกหนึ่งคะแนนจากแม่สามี...นาทีนี้ “ทั้งหมา ทั้งมัม” ตกหลุมรัก “สะใภ้ไทย วัยจวนเกษียณ” ไปเรียบร้อย
พูดถึง “วงศาคณาญาติ” ตระกูลเดิมของมัม คือ Ruth เมื่อแต่งงานกับหนุ่มจาก Fry Family ก็ใช้นามสกุล Fry โดยไม่เอาสกุลเดิมพ่วงมาด้วย  มัม” มีน้องสาวอีกสองคน อยู่ต่างเมือง แต่พวกเค้านาน ๆ โทรคุยกัน แต่เริ่มถี่มากขึ้นเมื่อ น้องสาวสองคนกลายเป็นเพื่อนกับเราทางเฟสบุค (มัมไม่มีเฟสฯ) น้า ๆ....ทั้งสองก็จะเห็นสิ่งที่เราโพสต์ตลอด ได้เห็นความเป็นไประหว่างเรากับสามี หรือก็คือหลานชายพวกเธอนั่นเอง.....เริ่มจาก โพสต์การทำอาหาร-ขนม ตัดผมให้สามี ปลูกผัก-ดอกไม้  ไปเดินเล่น ไปเที่ยวชมที่ต่าง ๆ ในเมืองอื่น ฯลฯ.... ช่วงหิมะตกในฤดูหนาว เราโพสต์วีดีโอที่เราออกไปเล่นหิมะคนเดียว (แบบคนไม่เคยเห็นหิมะอ่ะ) นอนเกลือกกลิ้ง ถูไถ กระโดดโลดเต้น ไม่ต่างจากเด็กน้อย......ลืมอายุไปชั่วคราวเลย 



เพราะเราเป็นนักถ่ายรูป จึงต้องโพสต์..โพสต์ และก็โพสต์ทุกสี่ห้าวัน.. ก็โพสต์.แต่พ่อแม่สามีไม่ได้เห็น แค่ได้ฟังเรื่องเล่าจากน้องสาวของเธอ.....แล้วมัมก็เกิดอยากจะเห็นวีดีโอนั่นขึ้นมา ก็เลยขับรถมาที่บ้านขอดู.....วันนั้นก็เลยต่อคอมฯ เข้ากับจอแบน เปิดให้เธอดู (ให้ดูมากกว่าที่ขอซะอีก)... พร้อมเสิร์ฟของว่าง และเครื่องดื่ม พวกน้ำผลไม้ 100% พวกเราพูดคุยกันสนุกสนาน ผ่อนคลายดีทั้งแม่ผัว-ลูกสะใภ้....วันนั้นมัมกลับออกไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า เราตามออกไปส่ง เปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง เธอทิ้งคำพูดก่อนขึ้นรถว่า “You’re good for Keith......(คิดในใจ..."แน่นอนมัมขา"....วันนี้น่าจะได้หลายคะแนนเลยหละ) เมื่อรวมกับคะแนนที่ได้จากการเข้ามาตรวจสอบ ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ว่าสะอาด เรียบร้อย หรือเปล่า นั่นก็ได้ไปอย่างละหนึ่งคะแนน นับจากที่สามีเล่าว่าตอนเขาไปบ้านแม่คนเดียว และใช้เวลาสนทนาตามประสาแม่ลูก แม่ของเขาพูดว่า ห้องน้ำ ห้องครัว "Look Sparkling!"
แล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก..... มาถึง Mother’s Day ในเดือนพฤษาคม วันนั้นตั้งแต่บ่ายเราสองคนออกไปตกปลาที่ Trail of Tears State Park เพราะเป็นวันอาทิตย์ ขากลับก่อนเขาบ้าน แวะไปที่บ้านมัม เพื่อเอา Mother’s Day Cards ไปให้ ซึ่งเราเตรียมไว้ก่อนหน้านั้นสามสี่วัน ทุก ๆ ปี สามีเราก็ต้องให้การ์ดแม่ ซึ่งเป็นการ์ดสำเร็จรูปที่ซื้อมา แค่ลงชื่ออย่างเดียว แต่ปีนี้มันต้อง “พิเศษกว่า” เพราะมีสะใภ้เป็น “กองหนุน” ทีแรกเราคิดจะพิมพ์อีการ์ดจากคอม แต่ปรากฏว่า หมึกสี เหลือแค่สีแดง จึงคิดหาวิธีอื่น...จำได้ว่ามีมูลนิธิเกี่ยวกับอนุรักษ์ป่าอะไรสักอย่างที่มักส่งการ์ดเปล่าและพิมพ์สติ๊กเกอร์ชื่อของสามีมาให้ แต่เขาไม่เคยใช้บางครั้งโยนทิ้งลงถังรีไซเคิล เราก็เป็นพวก “(ลูกอี) ช่างเก็บ” ก็เลือกเอาจากตรงนั้นอย่างน้อยมีภาพสีสวย ๆ เราแค่สั่งพิมพ์ ข้อความที่กลั่นจากใจ” ไม่ต้องพึ่งพาข้อความของคนอื่น แถมเพิ่มรูปสามีตอนเป็นเด็กน้อยประมาณสามขวบ (เจอในอัลบัมเลยถ่ายมา) นี่เป็นใบของสามี ส่วนเราเอง เป็นเพียงสะใภ้ แต่ก็อยาก (เสนอหน้า) ทำการ์ดให้ “แม่ผัว” (จริง ๆ) ก็ทำขึ้นมาอีกใบ ใส่รูปถ่ายที่เรากอดเธอตอนเธอมาที่บ้าน.....เมื่อเธอเปิดอ่าน และอ่านแบบออกอากาศด้วย แล้วหัวเราะชอบใจ พอพลิกไปเห็นรูปลูกชายตัวน้อยน่ารักอีกครั้ง..... “โอ..ฉันชอบมันมาก ๆ เลย”......แน่นอนละ เชื่อว่าเธอต้องรู้ว่านี่ “ฝีมือใคร?”.....แต่เนื่องจากอั้นฉี่ไว้นาน และไม่อยากเข้าห้องน้ำบ้านคนอื่น เลยสะกิดสามีชวนกลับ....การกลับเร็วจะเป็นเรื่องผิดปกติ ฉะนั้นลูกชายต้องบอกเหตุผลว่า ทำไม.... "มัมหัวเราะชอบใจ.....วันนี้ก็ได้ 2 คะแนน (คิดในใจ) รวมถึงวันนี้นับไม่ถ้วนแล้วละ....
เมื่อกลับถึงบ้าน ก็โอนไฟล์ภาพจากมือถือมาที่โน้ตบุค แล้วก็โพสต์รูป “ปลาบลูกิล” ที่สามีตกมาได้สองตัว และภาพอื่น ๆ รวมทั้งภาพที่ตัวเองถ่ายกอดเธอไว้ เพื่อบอกชาวเฟส ว่านี่คือ แม่ (อีกคน) ของฉันนะ วันรุ่งขึ้นตอนเช้าก็เห็น น้าเวอร์จิเนีย “Like” ภาพนั้น และคอมเม้นท์ว่า “ฉันชอบภาพที่ยูถ่ายกับบาบาร่ามากเลย และเธอก็ภูมิใจกับการ์ดที่ได้รับนั่นมากด้วย” (แปลว่าสองพี่น้องเค้าโทรคุยกันเรื่องสะใภ้ (อีกแล้ว) นั่นซิ...พักหลัง ๆ ได้รับรู้ความรู้สึกของมัมผ่านน้า ๆ นี่แหละ.....นับถึงตอนนี้เราคิดว่าเป็น “สะใภ้ผู้โชคดี” ที่พ่อแม่สามีให้ความเอ็นดู และเอาใจใส่......


หน้าหนาวใกล้เข้ามาแล้ว Just Talking เจอเสื้อผ้าสวย ๆ ราคาไม่แพง ลิ้งค์เอามาให้ชม ...ดูไม่เสียเงิน แต่ถ้าอยากได้ไว้ใส่เปลี่ยนบรรยากาศจากปีก่อน ก็อย่าคิดนาน...ในเว็บนี้ยังมีให้เลือกรื้อซื้อหาอีกเป็น หมื่น ๆ รายการจ้ะ...ตัวนี้แค่น้ำจิ้ม!!!