Friday, October 30, 2015


My neighbors are enjoying playing slide on the first snow that fall in winter 2015

I recorded this video from a window 30 meters away from them.
Later day, I couldn't resist the need of such playing. Just joined them.

I will never play like this again because I have to stay in Thailand for the winter every year.



Tuesday, October 27, 2015

ใบไม้ร่วงที่ Trail of Tears

ผ่านไปแล้ว 3 ฤดูที่อเมริกา จาก Winter, Spring, Summer และในที่สุด ฤดูที่เฝ้ารอคอยก็มาถึง...Autumn ฤดูที่ใบไม้เปลี่ยนสี ป่าทั้งป่ากลายเป็นสีโทนอบอุ่น สดใส งดงาม ตระการตา บรรยากาศสุดแสนโรแมนติก อากาศกำลังเย็น สบาย ๆ... Trail of Tears ในฤดูใบไม้ร่วง ช่างงดงามปานแดนวิมาน...ถนนแคบ ๆ ที่ทอดยาวนำเราไปยังจุดหมายนั้น ถูกขนาบด้วยต้นไม้สูง ๆ ที่ใบเปลี่ยนจากสีเขียว กลายเป็นโทนสีอุ่น ไล่เฉดจาก เขียวเหลือง เหลืองอ่อน เหลืองแก่ ส้มอ่อน ส้ม ส้มแก่ แดงสด แสด แดงเข้ม น้ำตาลแดง และน้ำตาล...ต้นไม้บางต้นกลายเป็นสีเหลืองอร่ามทั้งต้น บางต้นกลายเป็นสีส้มสว่างสดใส บางต้นกลายเป็นสีแดงสด แต่บางต้น เช่น เมเปิ้ลบางชนิดจะค่อย ๆเปลี่ยนสีไล่ระดับจากยอดลงมาพุ่มล่าง ราวกับเป็นผลงานของจิตรกรเอก ที่บรรจงราดเหลืองลงบนใบพุ่มไม้สีเขียว ทับอีกชั้นด้วยสีส้มอมเหลือง และทับอีกชั้นด้วยสีส้มแก่ ราดสีแดงลงบนชั้นบนสุด....โอ...สุดจะพรรณนา



คนอเมริกันจะเรียกฤดูใบไม้ร่วงว่า Fall ส่วนคนในยุโรป จะเรียกว่า Autumn คนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษแบบ British English ก็จะคุ้นเคยกับ Autumn และมาดามก็รู้สึกว่า คำนี้มันมีมนต์มากกว่า Fall หละ...ฤดูใบไม้ร่วงในอเมริกาปีนี้ 2015 จะเริ่มตั้งแต่ 23 กันยายน ไปจนถึง 22 ธันวาคม และ ในวันที่ 30 ตุลาคม จะเป็นวันที่ต้องหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ทำให้เวลาต่างกับเมืองไทย จาก 12 ชั่วโมง กลายเป็น 13 ชั่วโมง


หลังจากได้ กรีนการ์ด 2 ปี สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อกลางเดือนตุลาคมปีนี้ วันที่ผ่านมาอาทิตย์มาดามก็คิดอยากจะฝึกขับรถเพื่อทำใบขับขี่ วันเสาร์จึงบอกคีธว่าช่วยสอนหน่อย เค้าก็หัวเราะชอบใจ ใจ “เอาเลยที่รัก วันอาทิตย์นี้เลยนะ และเราจะไปดูใบไม้ร่วงที่ เทรลออฟเทียร์ด้วย”   เค้าถามว่าอยากขับจากบ้านไปเลยมั๊ย...มาดามยังไม่กล้าหรอก แถวนี้รถพลุกพล่าน ยังไม่อยากเคลมประกันตั้งแต่วันแรก...เค้าเลยขับไปแถวใกล้ ๆ State Park จอดหน้าโรงงาน P&G แล้วให้มาดามเริ่มขับไปจากตรงนั้น


หลังจากที่อธิบายการใช้งานเกียร์ออโต้คันโยกที่มันงอกออกมาตรงด้านขวาของพวงมาลัยแล้ว ก็ลองโยกดูก่อนว่า จะดึง หรือ จะดัน กันแน่ มันแปลก ๆ เหมือนคันโยกไฟเลี้ยวรถที่เมืองไทย...ที่นั่งมันไกลเกิน ต้องเลื่อนเข้าชิดจนคางแทบจะเกยพวงมาลัย...เสร็จแล้วต้องปรับพนักให้ทำมุมแคบเข้ามา..แต่รู้สึกว่าขามันเหยียบคันเร่งแบบได้ไม่เต็มที่ ต้องยืดได้แค่แตะ ๆ ส่วนเบรกนั้นแตะและเหยียบได้สุดพอดี...ถ้าจะขับเอาจริงเอาจัง ต้องเสริมที่นั่งด้วยเบาะจะทำให้เห็นหน้าปัดสถานะเกียร์ โดยไม่ต้องชะเง้อคอยาว...พร้อมแล้วก็ออกตัวโดยการเลี้ยวซ้ายเลย...คีธก็แปลกมนุษย์ แทนที่จะตั้งลำให้มาดามเริ่มหัดขับไปทางตรงก่อนสักระยะเพื่อให้คุ้นกับพวงมาลัย เบรก คันเร่ง แล้วค่อยเลี้ยว..ไม่อะ ตั้งต้นมันตรงแยกตัว T เลย



ถนนที่ขับไปเป็นสองเลนแบบสวนกันแคบ ๆ ถ้าขืนมัวแต่ขับดูลมชมวิว ไปไม่ทันระวังมีหวังลงข้างทาง หรือไม่ก็เสยราวสะพานแน่...รถคีธเป็นกระบะฟอร์ด พวงมาลัยซ้าย แต่ต้องขับเลนขวา เนี่ยแหละที่ทำไมถึงต้องฝึกขับ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ขับรถมาตั้ง 17 ปี...มาดามไม่เคยขับกระบะเลยในชีวิต นี่ครั้งแรก...คีธคอยบอกเมื่อจะต้องเลี้ยวซ้าย ขวา จนผ่านเข้าเขต Trail of Tears State Park เค้าก็ให้จอดเข้าซอง แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นคนขับเอง เพราะระยะทางจากตรงนี้เข้าไป คล้ายดั่งเข้าอุโมงค์แคบ ๆ ลดเลี้ยว เคี้ยวคด ลาดต่ำ และสูงชัน เพราะเป็นสันเขาที่ทอดขนานไปตามแม่น้ำ Mississippi เบื้องล่างเป็นหุบเหว...ถ้าเผื่อว่ามีใครตกลงไปไม่ต้องกลัวว่าหัวจะฟาดโขดหินเลย เพราะมันเป็นดินที่พอกไว้อย่างหนา ดินที่เกิดจากใบไม้ร่วงทับถมทุกปี...หลายล้านปี...
 

คีธขับเข้าไปในอุโมงค์แห่งสีสัน...นาน ๆ จะมีรถสวนมาสักคัน....มาดามทำหน้าที่ถ่ายวีดีโอด้วยมือถือ สลับกับ Nikon ตัวเก่ง แต่เสียดายภาพไม่ชัด เพราะโฟกัสไม่ได้ รถเคลื่อนตัวตลอด (เรื่องของเรื่องลืมปรับโหมดโฟกัสเป็น Infinity) แถมกระจกรถก็ไม่ทันจะได้ล้างให้ใสสะอาด...เราขับผ่านจุดตั้งแค้มป์ มีรถแค้มป์จอดอยู่สองสามคัน ท่ามกลางสีสันเจิดจรัส ทำให้มาดามหลุดปากออกไปว่า “ที่รักไออยากมาตั้งแค้มป์แบบนี้บ้าง” คีธก็รับลูก แต่จริง ๆ แล้วเราไม่มีรถนอนเคลื่อนที่แบบคนอื่น มันคงทุลักทุเลไม่น้อยถ้าจะมาจริง...รถแค้มป์เคลื่อนที่นั้น มีทุกสรรพสิ่งเครื่องใช้ เครื่องครัว เครื่องนอนพร้อมเตียง เครื่องอำนวยความสะดวก ทำความร้อน ความเย็น ห้องน้ำ ราวกับอยู่ที่บ้าน เพียงแต่มันแคบลงเท่านั้น ถ้าเป็นคันใหญ่ขนาดมินิบัสก็มาได้ทั้งครอบครัว เอาอยู่ แต่ถ้าคันเล็กขนาดรถตู้ก็เหมาะสำหรับคู่ผัวเมีย...คนอเมริกัน นิยมตั้งแค้มป์ เดินป่า ตกปลา ล่าสัตว์ ในวันหยุดยาว ของพวกเค้า...เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ จากบ้านไปอยู่ป่า...


เมื่อผ่านเนินขึ้นมาก็ถึงจุดชมวิวแรก มีในรถจอดอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคัน ความที่กำลังตื่นตากับทิวทัศน์รอบ ๆ ทำให้ไม่ทันสังเกตรถคันนั้น ครั้นพอเปิดประตูลงมา มาดามก็หยิบกล้องมาสองตัว ยื่นให้คีธตัวนึง “ถ่ายให้ไอด้วยนะ” รถคันนั้นกำลังเคลื่อนออกจากที่จอด พลันก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวส่งเสียงมาว่า “ใช่ ที่นี่สวยมาก ดูซิฉันก็มาถ่ายรูปที่นี่เหมือนกัน...ตรงนั้นนะ ๆ สวยมาก ๆ “ เธอลดกระจกลงและ ยกกล้องให้ดู แล้วชี้ไปไกลข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ไปยังฝั่ง อิลลิลนอยส์ โน่นเลย...มาดามก็ รับลูก บอก “ใช่ ๆ มันสวยมากจริง ๆ” แล้วเธอขับออกไป...


พอเธอลับตาไปแล้ว..ไม่มีใครอีกตรงนั้น มาดามก็ได้แต่ร้องวี๊ดวู๊ กระโดดโลดเต้นชมความงามของทิวทัศน์ตรงจุดชมวิวนี่แบบลืมอายุไปเลย...พอนึกได้ก็วิ่งถลาร่อน ถ่ายรูปตรงนั้น แล้วก็ตรงนี้ แล้วก็ตรงโน้นอีก...แล้วก็เปลี่ยนใช้มือถือถ่ายบ้างเผื่อภาพออกมาไม่ดีจะได้มีสำรอง...ไม่มีกล้องหน้าเหมือนเคย Selfie คู่กันเลยไม่ได้เรื่องอีก หัวมาดามขาด ได้แต่หัวคีธ ยิ้มหน้าบานไม่หุบ คนนี้เหมือนหุ่นยนต์โรบอท พอกล้องหันไปจับที่หน้าปุ๊บเค้าก็จะยิ้มกว้างรับปั๊บอัตโนมัติ...


คีธเข้าไปนั่งคอยในรถแล้ว แสดงว่าต้องการไปต่อ...ออกจากจุดชมวิวขับต่อไปอีกระยะก็ถึงทะเลสาบ Boutin ที่ ๆ เคยมาตกปลา บลูกิล คีธพามาดามมาที่นี่ครั้งแรกในฤดูหนาวตอนหิมะยังไม่ตก ครั้งที่สองในปลายฤดูใบไม้ผลิ...แต่วันนี้ไม่เห็นผู้คนเลยดูเงียบจริง ๆ คีธบอกว่าอากาศเริ่มเย็นแล้วคนก็เลยไม่มาเล่นน้ำ....คีธเข้าห้องน้ำ มาดามก็ถ่ายรูป แต่ว่าแสงแดดมันส่องมาทางด้านตรงข้ามของทะเลสาบทำให้ถ่ายภาพทะเลสาบจากตรงนั้นไม่ได้ มาดามให้คีธขับไปด้านทิศใต้ที่เคยจอดรถครั้งที่มาตกปลาเมื่อฤดูใบไม้ผลิ...คีธไม่ยอมลงจากรถ ปล่อยให้มาดามวิ่งไปมาถ่ายรูป วันนี้ไม่รู้เป็นไร ถ่ายรูปไม่ดีได้ดั่งใจเลย อาจเป็นเพราะรู้สึกว่ามีคนกำลังคอยอยู่ ต้องรีบ ๆ แสงเงาออกมาไม่ดี แถมความคมชัดก็หายไปกับ ความที่สายตามีทั้งสั้นและยาว โฟกัสไม่ขาด แสงแดดก็สะท้อนเข้าตา...สรุปว่ารูปไม่สวยเลยสักรูป...ทนดูเอาหน่อยละกัน


คีธขับกลับ แต่มาดามอยากไปต่อที่จุดชมวิวที่มีสะพานทอดไปที่ริมฝั่งมิสซิสซิปปี้ แต่เค้าบอกอาทิตย์หน้าค่อยไปตรงนั้น....รู้เลย ตอนนี้หิวเบียร์ อยากกลับด่วน...
  



ใบเมเปิ้ล และ ใบโอ๊ค ถึงเวลาต้อง พรากจากต้น ร่วงหล่นสู่พื้นดิน...ทิ้งไว้เพียงต้นที่ไร้ใบไปตลอดฤดูหนาว ที่กำลังจะย่างเข้ามาในชีวิตมาดามฟราย..อีกครั้ง