Friday, July 24, 2015


       
วันนี้คีธชวนไป “ดูนก” ที่ Sikeston, Missouri จริง ๆ แล้วไม่รู้หรอกว่า สถานที่ๆ นกตัวนั้นอยู่ น่ะไกลแค่ไหน เขาแค่บอกขับรถประมาณครึ่งชั่วโมง  เราก็ได้แต่กระโดดขึ้นรถตามไป.... ในใจก็คิดเอาเองว่า เขาน่าจะใช้เวลา “เฝ้าดู" ด้วยกล้องไม่เกินครึ่งชั่วโมง และในระหว่างนั้น เราก็จะถือโอกาสสอดส่ายสายตาหา Location เก็บภาพสวย ๆ พอเพลิน ๆ แล้วก็หาของอร่อย ๆ กินกัน แล้วก็น่าจะขับรถกลับ...


        คีธขับรถ 30 นาที จาก Cape Girardeau, Missouri ใช้เส้นทาง 55-South ไป  Sikeston ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ไปประมาณ 30 กิโลเมตร ระหว่างทางเราสังเกตว่าพื้นที่แถบนี้เป็นที่ราบกว้างใหญ่ ไม่มีเนินเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ (เหมือนช่วง Cape Girardeau วิ่งขึ้นไปทางเหนือจนถึง St. Louis).....แลเห็นแปลงปลูกพืชผลการเกษตรตลอดสองฝั่งถนน มากมายกว่าที่ Cape Girardeau นัก
       
เพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง Sikeston เลี้ยวขวาลง Exit 67 คีธขับรถไปพลางมองหาตำแหน่งที่นกปรากฎตัว ตามที่มีคนส่งอีเมล์มาบอก เราจริงๆ เราก็มัวแต่มองข้างทางเพลินไม่ได้สนใจว่าเขาจะไปถึงไหน แต่ดูท่าว่าเขาจะหาไม่เจอแน่แล้วจึงถามเขาว่า “อะไรที่ยูกำลังมองหา” เขาตอบ “เบอร์เกอร์คิงส์”!  อ้อ! นั่นเราเห็นมันผ่านมาตั้งไกลแล้ว “ยูต้องย้อนกลับแล้วละ” ....วกกลับแต่ก็หาไม่เจอเลยคว้ามือถือจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของเขาออกมาจิ้มที่ Navigator โอ้ว...จริงๆ มันอยู่ตอนต้น ๆ ถนนตอนที่แยกลงจาก Route 55 แล้วพระเดชพระคุณ!......เอาละนี่ไงเจอแล้ว เขาขับรถเข้าไปจอดในเบอร์เกอร์คิงส์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแม็คโดนัล (ตรงตามที่ข้อความในอีเมล์แจ้งไว้) จอดรถแต่ไม่ยักลง คว้ากล้องออกมาส่องขึ้นไปที่สายไฟฟ้าข้างถนน เราก็มัวแต่มองที่อื่นรอให้เขาลงก่อน พอหันมาคว้ามือถือจะถ่ายรูปเขาตอนกำลังส่องกล้อง เขาก็ลดกล้องลงเก็บ ตั้งท่าจะถอยรถออก เราถาม “อ้าวไม่ลงไปดูเหรอ” เขาบอกดูเสร็จแล้วตอนนี้หิวมาก.....โอ๊ะอะไรเนี่ย??  ไม่อยากเชื่อ ขับรถมาครึ่งชั่วโมงเพื่อมาดู “นกตัวเดียว” ที่เกาะบนสายไฟริมถนน "ไม่ถึงครึ่งนาที” เป็นอันเสร็จ “จบทริปดูนก”



.......นกตัวนี้มีชื่อว่า Western Kingbird (เราว่าหน้าตามันคล้ายนกขมิ้นเมืองไทย?) เพราะไม่ได้พบเห็นมันได้ง่าย ๆ พวกนักดูนกทั้งหลายเมื่อได้ข่าวว่ามันปรากฏตัวที่ไหน เป็นอันรีบแจ้งข่าวสารข้อมูลกันทันควัน  หนุ่มคีธก็ไม่ยอมพลาด!    

เราสองคนรู้สึกหิวเร็วพอกัน และมากกว่าปกติด้วย เขาพาเข้าไปกิน บาร์บีคิวที่อยู่ถัดจากที่ดูนกไม่มากนัก ร้าน Bo’s BAR-B-Q ร้านโปรดของเขาสมัยที่ยังเรียนไฮสคูล บาร์บีคิวที่นี่ หน้าตาแปลกจากเมืองไทยซึ่งเราจินตนาการว่ามันจะเป็น หมูหรือไก่ เสียบบนไม้สลับกับพริกและ สับปะรด แล้วก็ย่าง ๆ ราดซอสอะไรทำนองนั้น แต่เปล่าเลยดูหน้าตาเอาละกัน...ใครจะกินอะไรก็ไปยืนสั่งหน้าเค้าน์เตอร์ แล้วจ่ายเงิน เดี๋ยวพนักงานจะนำมาส่งที่โต๊ะ ส่วนเครื่องดื่มนั่นบริการตัวเอง ร้านนี้คนเยอะเรียกว่า "พลุกพล่าน" น่าจะได้....เราสองคนกินอย่างเดียวกัน จานมหึมา อร่อยมาก แต่ก็กินได้แค่ชิ้นเดียวนั่นก็ “จุกถึงคอหอย” ที่เหลือยกให้คีธเหมาไป เมนูนี้เรียกว่า พอร์คบาร์บีคิว กินกับ เบคบีน และซาหลัด (กะหล่ำปลีสับคลุกมายองเนส) เบคบีน นี่ก็อร่อย เข้ากันได้ดีกับ ขนมปังไส้ขาหมู...ข้างในขนมปังนิ่ม ๆ นั่นคือเนื้อหมู เราเข้าใจว่าเขาเอาตรงส่วนขาไปเผาก่อนนำมาปรุงรส เราจำรสชาติและ Texture ของขาหมูเมืองไทยได้ดี เหมือนกันเลย แต่คนละรส......



อิ่มแล้วถามคีธว่า “เอาไงต่อ” เขาบอกจะพาไประลึกความหลังที่ East Prairie สถานที่ ๆ เติบโตจนเป็นหนุ่มกระเตาะ ไปดูโรงเรียนที่พ่อแม่ของของเคยเป็นครูสอน....เราเลยถือถ้วยโค้กยักษ์ออกมาด้วย เพราะคะเนว่าอากาศร้อน ต้องได้กินโค้กหมดคราวนี้แน่ ๆ (จริงดังคาด! โค้กเมการสซาบซ่าส์...ถึงใจ อร่อยกว่าเมืองไทยเยอะ....)




        ออกจากแถว ๆ โรงเรียน เขาขับรถต่อไปอีก แถบนั้นเป็นท้องทุ่งทำการเกษตร....(นาทีนี้เริ่มคิดได้ว่าทำไมเขายอมลงทุนขับรถไกลมาดูนกที่นี่....อ้อ! จริง ๆ แล้วมีวัตถุประสงค์แอบแฝง พาภรรยามาเที่ยวนี่เอง...ขอบคุณจ้ะที่รัก)




เรามาถึงสะพานปูนข้ามคลองส่งน้ำที่ค่อนข้างกว้าง คลองยาวสุดสายตา ริมคลองมีต้นไม้ขึ้นสูงเขียวครึ้ม ดูสวยงาม เราจึงบอกให้เขาหยุด เราใช้เวลาตรงนี้กลางแดดเปรี้ยงประมาณ 30 นาทีเดินสำรวจพืชพรรณที่ขึ้นริมคลอง และถ่ายรูป เสร็จแล้ว ขับต่อไปตามทางเล็ก ๆ ที่เป็นลูกรัง (ทำให้นึกถึงเมืองไทยขึ้นมา) บางช่วงสองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น นั่นคงเป็นเพราะเจ้าของฟาร์มสงวนไว้ไม่ยอมตัด แถมเรายังเดาว่าพวกเขาปลูกเพิ่มด้วยแหละ สังเกตจากระยะของต้นไม่ใหญ่เท่า ๆ กัน ส่วนพวกที่ขึ้นรก ๆ ถี่ ๆ เป็นต้นไม้ขึ้นเองแหง…
ทุ่งข้าวสาลี


ทุ่งข้าวโพด
     
        เนื่องจากภูมิประเทศของเมืองนี้เป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทำเลจึงโล่งเตียน สุดสายตา ไม่มีภูเขา หรือที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ประชากรจึงยึดอาชีพทำการเกษตรปลูก ข้าวโพด และ ข้าวสาลี เป็นหลัก มีปลูกถั่วเหลืองบ้างแต่น้อย เห็นไม่กี่ฟาร์ม แต่ละฟาร์มก็จะมีบ้านหลังใหญ่ ๆ สวย ๆ ทุกบ้านปลูกดอกไม้สดใสน่ารัก ไว้หน้าบ้าน มีสนามหญ้าเขียวขจี ราบเรียบดั่งปูพรม ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น รอบบ้านเป็นทุ่งกว้าง มองไปที่ท้องฟ้า มีเมฆขาว ๆ ปุย ๆ ตัดกับท้องฟ้าสีครามอ่อน ๆ นี่มัน “ทุ่งในฝัน” ชัด ๆ เราว่าคนแถวนี้มีบ้านสวยกว่าคนในเมืองซะอีก นี่แสดงว่า เกษตรกรแถวนี้ “ร่ำรวยไม่ใช่น้อย





        เมื่อขับลึกเข้าไปอีก ก็ได้พบกับ “วัตถุแปลกๆ” เป็นโครงเหล็กทั้งยาวและใหญ่ (ไม่ได้ทะลึ่งนะ) ตั้งอยู่เหนือแปลงข้าวโพดและข้าวสาลี เกือบทุกแปลง....ความกว้าง (หรือจะเรียกว่าความยาวดีล่ะ) ของมันเท่ากับหน้ากว้างของแปลงพืชไร่แต่ละแปลง ความสูงเลยศีรษะ ช่วงที่เห็นในฟาร์มที่ต้นข้าวโพดสูงแล้วเรามองไม่เห็นฐานของมัน ตอนนั้นเลยคิดไม่ออกว่าเขามีมันไว้เพื่ออะไร....แต่พอมาถึงฟาร์มที่ต้นข้าวโพดยังเตี้ย ๆ อยู่ เราจึงได้เห็นว่ามันมีล้ออันใหญ่เท่าล้อรถไถนาเล็กบ้านเรา..... สรุปว่ารูปร่างของมันเหมือน Mobile Crane หรือ Overhead Crane ละกัน
   

เมื่อมองไปที่ล้อ ก็คิดว่า มันต้องใช้สำหรับเคลื่อนที่ไปเหนือแปลงเกษตร โอว....นึกออกแล้ว มันต้องเป็นเครื่องรดน้ำแบบเคลื่อนที่แน่ ๆ.....อุแม่เจ้า!!! พวกเขาลงทุน “ทำไร่แบบมีระบบชลประทาน” เป็นของตัวเองกันขนาดนี้เลยเชียวหรือ?  น่าทึ่งจริง ๆ.....(ไม่ต้องรอฟ้าฝน เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ชอบทำ).... บางฟาร์มที่ใหญ่มาก ๆ พวกเขาจะเอาเจ้าโมบายมาต่อ ๆ กัน ให้ได้หน้ากว้างเท่าแปลงพืชไร่เรียกว่าเคลื่อนที่โปรยน้ำจากหัวไร่ไปจนสุดท้ายไร่ แบบ “ปูพรม” กันเลยทีเดียว
        ถึงตอนนี้ต้องเอ่ยปากถามสามีว่า “แล้วพวกเขาเอาน้ำที่ไหนมาใช้รด”....ฟาร์มออกจะยาวสุดลูกหูลูกตา มันต้องใช้น้ำมหาศาลอย่างแน่นอน คลองแถว ๆ นี้ก็ไม่มี คีธบอกเขาขุดและสูบจากใต้ดิน อ้อ! นั่นซิเราเริ่มสังเกตเห็นมีแกลลอนน้ำมัน ขนาด 200 ลิตร และมีเครื่องสูบน้ำจากใต้ดิน ติดตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ มันคือสถานีสูบน้ำเล็ก ๆ ของแต่ละฟาร์มนี่เอง พวกเขาไม่ต้องทำรั้วล้อมป้องกันของหายเลย (ถ้าเป็นเมืองไทย ตื่นขึ้นมาเช้าคงไม่เหลือไรไว้ให้เห็น)


คลองซอยฝั่งซ้ายถนน แยกออกมาจากคลองหลัก
 
คลองซอย ฝั่งขวาถนน-แยกออกมาจากคลองหลัก


คลองชลประทานหลัก
 นี่คือความแตกต่างของคนไทย กับอเมริกัน ในวิถีการทำการเกษตร  และแม้ว่ารัฐของพวกเขาจะจัดสรรการส่งน้ำเพื่อการเกษตรกรรมโดยการขุดคลอง ทั้งน้อยและใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะทั่วถึงและน้ำก็มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่เกษตรกรที่ “หวังผลเลิศ” ในผลผลิต ได้แสดงความเอาจริงเอาจัง ด้วยการลงทุน สร้างระบบชลประทานส่วนตัวขึ้นมา แน่นอนว่า ต้นทุนนั้นคงไม่ใช่ กี่หมื่นบาท มันต้องเป็นแสนขึ้นไป แต่เป็นการลงทุนแค่ครั้งแรกและคุ้มค่า จากนั้นก็เก็บเกี่ยวผลผลิตแบบ “เต็มเม็ดเต็มหน่วย” (ตอนนี้ไม่สงสัยเลยว่าทำไมพวกเขามีบ้านหลังใหญ่ๆ ที่สวยงาม มีเครื่องจักรทำการเกษตรเป็นของตัวเอง)  และแม้จะผลิตพืชผลออกมามากมายเพียงใด ก็ไม่มีคำว่า “ล้นตลาด” (จนต้องเอาไป “เทประชดรัฐบาล” ให้เมื่อยตุ้ม เหมือนที่เกษตรกรไทยชอบทำแบบไม่คิดถึงว่าจะเสียค่าโสหุ้ยน้ำมันรถ เปลืองแรง เปลืองอารมณ์ หรือเปล่า เอาแค่ สะใจ



เพราะคนอเมริกันส่วนมากบริโภคอาหารใน กระป๋อง ขวด ถ้วย ถุง มันสะดวก ประหยัดเวลา ไม่ต้องล้าง ไม่ต้องปลอกเปลือก และไม่ต้องหั่นผัก ฯลฯ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีผลผลิตทางการเกษตรออกมาเท่าไหร่ ก็เอาไปแปรรูปให้อยู่ในภาชนะปิดผนึก ส่งไปขายทั่วทวีป 



สังเกตได้จากตามชั้นวางสินค้าใน วอลมาร์ท แม้แต่หอมแดง ก็ยังอยู่ในขวด และสารพัดแบรนด์.....คนไทยมีวิถีการกินแบบ ต้องไปตลาดสดซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหารทุกวัน จึงต้องมีตลาดสดขายผัก และเนื้อสัตว์สดๆ ทุกเช้า/เย็น แต่คนอเมริกัน จะซื้อทุกอย่างไปเก็บใส่ตู้เย็นกินกันเป็นอาทิตย์ หมดหรือใกล้หมดก็ออกมาช้อปใหม่ตามห้างที่มีสารพัดอาหาร  พวกเขาไม่มีตลาดสดแบบเมืองไทย (อ้อ! อาจมีบ้าง สัปดาห์ละครั้ง เรียกว่า Farmer Market ที่ ๆ เกษตรกรนำผลผลิตของตัวเองมาวางขาย ซึ่งดูแล้วไม่ได้ “สด” เหมือนในห้าง และจริง ๆ ก็ “ไม่ได้ถูกกว่าในห้าง” ด้วย แต่ก็มีคนชอบมาซื้อ.....คีธบอก มะเขือเทศที่ Farmer Market นี่อร่อย แต่เรากินไม่รู้สึกแตกต่าง จริง ๆ ไปที่นั่นแค่อยากจะดูว่าพวกเขาขายอะไร (บางทีฉันอาจเห็นลู่ทางหาเงิน ฮะฮ้า....มีแผน!!!)
   
ที่ท้ายทุ่งจะเห็น เครื่องรดน้ำแบบเคลื่อนที่เหนือนแปลงข้าวสาลี

        ตอนขากลับออกมา อ้อนวอนสามีให้ช่วยจอดรถ อยากถ่ายรูป ทั้งในฟาร์มข้าวสาลี และทุ่งข้าวโพดที่เขียวสดใส กว้างใหญ่สุดตา อยากปีนขึ้นไปยืนแอ็คบนเครื่องรดน้ำใหญ่นั่นด้วย แต่เกรงว่าคุณสามีจะ “หมดศรัทธา” ในตัวเรา เลยหักห้ามใจเอาไว้.....อยากลงไปนอนกลิ้งในทุ่งสาลีนั่น แต่ก็กลัวเจอ “บางอย่าง” ที่ไม่คาดฝัน ได้แต่กระโดดโลดเต้นหย็องแหย็ง เรียกให้เขาข้ามท้องร่องมาถ่ายวีดีโอในทุ่งใกล้ ๆ แต่หนุ่มอเมริกันผู้นี้ บอกว่า “ไอไม่สามารถข้ามไปได้ ขอยืนบนถนนละกัน” ภาพเลยออกมาเล็กกระจิ๋วหลิว

        ขณะที่รถแล่นอยู่บน Rout 55 ขากลับ ยังได้เห็นการหว่านเมล็ดพันธุ์โดยใช้เครื่องบินด้วย อยากจะแวะแต่ก็รู้สึกว่าเหนื่อย แดดก็ร้อนเหลือหลาย วันนั้นใส่เสื้อสีดำซะด้วย ยังดีที่มีหมวกปีกกว้างช่วยบังหน้าเอาไว้ไม่งั้นมีหวังคุณกา ๆ ได้โอกาสฝากรอยเท้าเอาไว้ที่หางตาแน่
        วันนี้ช่างเป็นวันที่มีความสุขมากมายกว่าวันไหน ๆ เมื่อกลับมาถึงบ้าน นอนเหยียดยาว งีบไปเล็ก ๆ ตื่นมากินมื้อค่ำ เสร็จแล้วด้วยความที่อยากรู้อยากเห็น ก็เข้าไป Search หาไอ้เครื่องรดน้ำที่เห็นนั่น.....โอ้โห....มีวีดีโอให้ชมด้วย เป็นวีดีโอของผู้ผลิตเครื่อง แถบ ๆ ยุโรป ....อา!! ได้เปิดหูเปิดตาตัวเองมากขึ้น    มีเครื่องแนวนี้อีกสองสามแบบ ซึ่งใช้ระบบกวาดแขนรอบตัว 360 องศา ที่แขนติดสปริงเคลอร์หลายหัว ที่ปลายมีปืนฉีดน้ำพุ่งได้ไกล ตัวฐานรถก็เคลื่อนที่ไป แขนก็หมุนไป เรียกว่า Centre Pivots Irrigation ส่วนอีกแบบเป็น แบบรถติดปืนยิงลำน้ำออกไปแล้วน้ำจะกระจายเป็นฝอยโปรยลงบนแปลงพืช  ยิงได้ยาวไกล และหมุนได้รอบตัว อันนี้เรียกว่า Gun Irrigation ตัวนี้ดูแล้วไม่น่าจะใช้เงินลงทุนเยอะ
        เท่าที่ดู เราว่าตัวของอเมริกาเวิร์กกว่า เคลื่อนไปแบบปูพรม จะเสียพื้นที่แค่ตรงที่ล้อวิ่งผ่านแคบ ๆ แค่นั้น ดูสะดวกกว่า....... เนื่องจากความเร็วเน็ทต่ำมาก ดูได้ไม่ลื่น ความอดทนก็หมด เลยดู ได้แค่ชื่อมันพอแล้วและก็ยังไม่เห็นไอ้เจ้า โมบายแขนยาวนี่ว่ามันทำงานยังไงแน่ ต้องมีรถมาลากมันไป หรือว่ามันแล่นเองได้ด้วยมอเตอร์ขับที่ซ่อนตรงฐาน เหนือล้อ....ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ...เรานึกถึงไร่มันสำปะหลังของตัวเอง ที่ทิ้งมา 6 เดือน นั่นก็รอแต่ฟ้าฝน เพราะคนดูแลมันไม่คิดจะลงแรงทำอะไรให้มากขึ้น....เมื่อไหร่ที่เราได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย เราเป็นต้องหยิบวิธีนี้ขึ้นมา “Modify” เพื่อให้ได้ผลผลิตไร่ละ 30 ตันตามที่ “วาดฝัน” เอาไว้ตอนที่จะควักเงินซื้อที่แปลงนั้นเมื่อสี่ห้าปีก่อน…….
        ขอจบเรื่องเล่า Sikeston เอาไว้เท่านี้ก่อนนะคะ ในบล็อกนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกหลายเรื่อง หากคุณมีเวลาว่าง และไม่รู้จะทำอะไร แวะมาที่บล็อกนี้ได้ตลอด 24/7  ขอบคุณที่แวะมาค่ะ  (:



Car Accessories at beddinginn.com