Friday, July 3, 2015




Father’s Day (June 21, 2015) ปีนี้ครอบครัวของเราและพ่อแม่สามีได้มีโอกาสได้เที่ยวที่ Ste. Genevieve ซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของรัฐ Missouri  ครั้งแรกแมรี่ น้องสาวคนรองของคีธที่อยู่ St. Louis เธอตั้งใจจะมาเยี่ยมพ่อที่ Cape Girardeau แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ นัดหมายให้พวกเราไปเจอกันที่ Ste. Genevieve ทีแรกเราก็สงสัยว่าทำไมไม่มาที่บ้าน และทำไมต้องเป็นที่เมือง Ste. Genevieve แต่คีธก็ไม่ได้ถามเหตุผลที่เธอเปลี่ยนใจ ดังนั้นเราจึงเข้าเน็ท search หาชื่อเมืองเพื่อดูระยะทาง ได้พบข้อมูลขับรถจากบ้านเรา ไป 55.4 ไมล์ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง  ทำให้คาดเดาว่าแมรี่น่าจะอยากใช้เวลากับพ่อแม่ข้างนอกบ้านเพื่อเที่ยวชมเมือง กินอาหารด้วยกัน และพูดคุยกัน และที่สำคัญ ไม่ต้องขับรถไกลถึง 113 ไมล์ สองชั่วโมง ไปกลับสี่ชั่วโมง นั่นเรารู้รสชาติดีเพราะจำเป็นต้อง ไป-กลับ มา 3 ครั้งแล้ว แม้นั่งเฉยก็ยังเพลีย

เราสองคนออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมงครึ่ง คีธต้องขับรถไปที่บ้านพ่อแม่ก่อน เพื่อเปลี่ยนเอาเชพโรเล็ท ขับไป มัม-แด๊ด นั่งตอนหลัง เจ้าโทบี้ที่น่าสงสารต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านเพียงลำพัง มัมเปิดแอร์ทิ้งไว้ด้วยเกรงว่ามันจะร้อน) มัมเตรียมขวดน้ำดื่มบรรจุไว้ในกระติกน้ำแข็ง และเผื่อเราสองคนด้วย พร้อมของว่างที่เธอโปรดปรานคือ พีนัทแครกเกอร์ ซึ่งมาชนกับที่เราก็เตรียมมาให้เธอเหมือนกัน แต่เครื่องดื่มของเราเป็นโค้กขวดแช่เย็นในกระติกน้ำแข็ง..... ดูไปดูมาเหมือนพวกเรากำลังจะไป ปิกนิก  ( :
คีธขับรถจาก Cape Girardeau ใช้เส้นทาง I-55 North เมื่อถึง Exit 150 ก็แยกขวา แต่พบว่าถนนหลักถูกบล็อคและกำลังซ่อม เราจึงต้องวกกลับและเลี่ยงไปใช้เส้นทางเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนนำพวกเราเข้าไปในป่า ด้วยเกรงว่าคีธจะหลงทางเสียเวลา เราจึงเปิดใช้ Navigator มือถือของคีธแต่เขาไม่ได้ติดตั้งแอปฯเสียงนำทางเรา จึงทำหน้าที่แทนคอยบอกว่าเหลือระยะทางกี่ไมล์ ต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวา แต่ก็ผิดพลาดเพราะตาเรามองเห็นเส้นสีฟ้าเลี้ยวไปทางขวาเมื่อถึงแยก แต่ปากพูดว่า “ที่รักเลี้ยวซ้ายข้างหน้า” พอสามีเลี้ยวซ้ายเราก็ร้องเสียงหลง บอกว่าไม่ใช่ทางนี้ ต้องไปทางนั้น.....นั่นหละ เรื่องซ้ายกับขวานี่ชอบพูดกลับบ่อยมาก......ขับไปประมาณยี่สิบนาทีก็เข้าสู่ตัวเมืองใช้เวลารวมประมาณหนึ่งชั่วโมง......สิ่งแรกที่แลเห็น คือ ยอดโบสถ์ที่สวยสง่างาม มือควานหากล้อง ตาก็จับจ้องที่โบสถ์....ถ่ายรูปไปตลอดเวลาที่รถแล่นอยู่จนกระทั่งรถเข้าไปจอดในลานจอดรถฝั่งตรงข้ามด้านข้างของโบสถ์ เราจูงมือมัมข้ามถนนสองเลน และมายืนพักตรงหลักป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์ “The Ste. Genevieve Museum” ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับด้านหน้าของโบสถ์คาทอลิก Ste. Genevieve Catholic Church......


แมรี่นัดหมายว่าจะมาเจอกันที่นี่ แต่เธอยังมาไม่ถึง เราจึงชวนมัม&แด๊ดไปถ่ายรูปที่ด้านข้างและด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ฯ เพื่อให้เห็นยอดโบสถ์ ภาพที่ได้จึงเล็กมาก.....ไม่นานนัก แมรี่และคริสต้าลูกสาวของเธอก็มาถึง พวกเราจึงพากันกันเข้าไปชมในพิพิธภัณฑ์ก่อนเป็นอันดับแรก

ลงชื่อเยี่ยมชม
ในนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน มีแต่เจ้าหน้าที่ประจำ ซึ่งเธอก็กล่าวทักทายต้อนรับ และเริ่มแนะนำประวัติความเป็นของเมืองและสถานที่แห่งนี้ เรานั้นได้ยินแต่เสียงของเธอแต่ไม่ได้จับใจความทั้งหมด เพราะสนใจแต่จะถ่ายรูป.... ถ่ายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า (แต่ว่าไม่สามารถลงภาพให้ชมได้ทั้งหมดนะคะ)
Ste. Genevieve มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ.....ในยุคล่าอาณานิคม ทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเสศ สเปน ปรัสเซีย ก็มีการอพยพถิ่นฐานมายังตั้งรกรากที่ดินแดนโลกใหม่นี้ มากขึ้น ในปี 1735 ชาว ฝรั่งเศส-แคนนาดา อพยพมาตั้งรกราก ณ ริมฝั่งด้านตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ประกอบอาชีพ ผลิตเกลือ ทำเหมือง ดักสัตว์เพื่อเอาหนังและขน ต่อมาเกิดสงครามต่อเนื่อง 7 ปี จนในปี 1762 ต้องยกดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำให้แก่ สเปน หลังจากนั้นในปี 1785 เกิดน้ำท่วมใหญ่ พวกเขาต้องย้ายถิ่นมาอยู่ที่ใหม่ซึ่งภายหลังได้ชื่อว่า Ste. Genevieve ในปี 1800 ได้ดินแดนคืนจากสเปน แต่ต่อมาก็ต้องขายให้แก่ Louisiana และสุดท้ายพวกเขาก็กลายเป็นพลเมืองของ “ประเทศสหรัฐอเมริกาSte. Genevieve จึงกลายเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของรัฐมิสซูรี....เมืองที่ผู้คนสามารถค้นพบสถาปัตยกรรมโคโลเนียลฝรั่งเศส ศตวรรษที่ 18 ที่หาดูได้ยาก.....ได้แก่ French Colonial Houses 3 หลัง ที่ยังคงได้รับการรักษาและบูรณะไว้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ (เขียนไว้เป็นตอนที่ 3)


        The Ste. Genevieve Museum เปิดให้ประชาชนเข้าชมครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1935 เป็นพิพิธภัณฑ์แบบผสมผสาน (eclectic museum) ที่รวบรวมและจัดแสดง “มรดกทางประวัติศาสตร์ยุคสองร้อยปี (ช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึง 19) ได้แก่ ประดิษฐ์กรรมด้านวิศวกรรม เครื่องประดับเครื่องใช้ไม้สอยในการดำรงชีพ เครื่องเรือน เครื่องมือก่อสร้าง หนังสือโบราณ ฯลฯ อันแสดงให้เห็นร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองนับแต่ที่ชาวฝรั่งเศสได้ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกราก สร้างบ้านแปลงเมืองแห่งนี้ และยังเป็นที่แสดงวัสดุสิ่งของ ๆ ชนพื้นเมืองอินเดียนอเมริกันยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ขุดพบในเมืองนี้อีกด้วย

The STE. Genevieve Transfer Boat 19221961
This diorama, made by Lewis Pruneau, is of the Ste. Genevieve Transfer Boat. Comprised of a wooden hull and two steam engines, this transfer boat transported trains between Kellogg, Illinois and Ste. Genevieve, Missouri before trains bridges were constructed in the region.


 
ผ้าลูกไม้ทอมือ สวยงาม เหลือเชื่อ!




Mississippian Pottery
The early Mississippian period 900‑1500 A.D. Commonly tempered using muscle shells from the Mississippi river. They range from simple to beautifully designed.

Milestone 7 from the plank road (Right)
A forty‑two mile plank road, built in the 1850’s, ran between Ste. Genevieve and Iron Mountain. This road aided in the transportation of lead from the mines to the Mississippi River where the product could then be shipped to markets east and south.


Painting of Ste. Genevieve Bicentennial Celebration August 19‑22, 1935
Many paintings were produced in commemoration of the last day of Ste. Genevieve’s 200th birthday. This is one of two such paintings the museum is glad to have.

        
ปัจจุบันเปิดบริการทุกวัน นักท่องเที่ยวต้องซื้อบัตรเข้าชมในราคาเบา ๆ  แต่ชมฟรีในโอกาสพิเศษ เช่น Father’s Day ภายในยังจำหน่ายของที่ระลึกที่น่าสนใจสำหรับเป็นของฝากอีกด้วย

เมื่อกลับออกมาข้างนอก ทุกคนควักสูบบุหรี่ออกมาสูบที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราเป็น แพ้ควันบุหรี่ ต้องเดินเตร็ดเตร่ออกไปถ่ายรูปอยู่ห่าง ๆ......


หลังจาก “รมควัน” กันเสร็จคนละมวน แมรี่ก็พาพวกเราข้ามถนน Market St ด้านข้างของพิพิธภัณฑ์ไปที่ร้านอาหารตรงข้ามนั่นเอง หน้าร้านมีม้านั่งสองฝั่งซ้ายขวา ปลูกเฟิร์นใบมะขามพุ่มใหญ่เขียวสดใสไว้ข้าง ๆ ม้านั่ง ลูกค้าบางคนก็ทิ้งบุหรี่ ที่ดับแล้วแต่ไหม้ไปนิดหน่อย ไว้ที่กระถางเฟิร์น (ขี้เกียจแม้แต่จะเดินเอาไปยัดใส่ที่ทิ้งกันบุหรี่ ห่างแค่สามก้าว) มองเข้าไปด้านใน มีผ้าม่านลูกไม้สีขาวนวลน่ารัก เมื่อเข้าไปข้างใน อาคารนี้สร้างด้วยไม้แบบเก่าแก่ เพดานสูง ผนังตกแต่งด้วยภาพมากมาย ด้านขวาเป็นเคาน์เตอร์ตามแนวยาวขนานไปกับผนัง มีเก้าอี้บาร์หน้าเคาน์เตอร์สี่ห้าที่ ด้านหลังเต็มไปด้วยเครื่องดื่มนานาสารพัน เข้าใจว่าเปิดบริการถึงกลางคืนสำหรับนักดื่มด้วย ด้านซ้ายวางโต๊ะอาหาร ขนาดสี่ที่ และหกที่ รวมแล้วประมาณแปดโต๊ะ มีพนักงานสาว ๆ คอยให้บริการ สามสาว ตอนเราเข้าไปมีคนแค่โต๊ะเดียวสองคนรออาหารอยู่ ช่วงนี้ครอบครัว Fry ใช้เวลาพูดคุยกันรออาหาร เวลาผ่านไป ผู้คนก็เริ่มทยอยเข้านั่งจนเต็มหมดทุกโต๊ะ เราคิดในใจว่า “ฉันมายี่สิบนาทีแล้วยังไม่เห็นอาหารออกมาสักจาน แล้วพวกคุณจะได้กินตอนไหนกันล่ะนี่?
               ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม และคอฟฟี่ช็อป ในย่านใจกลางเมือง  มีประมาณ 9 ร้าน และที่กระจายอยู่ใน Ste. Genevieve อีก 15 แห่ง.....มีร้านอาหารที่ได้รับรางวัลจากการประกวดหลายแห่งให้เลือกลิ้มลอง.....สักพักอาหารก็ออกมาเสิร์ฟพร้อมกันทั้ง 6 ที่......อ้อ! แบบนี้เองที่ทำให้ช้า ทำเสร็จทั้งโต๊ะแล้วเสิร์ฟทีเดียว กินพร้อม ๆ กัน.....ถ้าเป็นที่เมืองไทยจานไหนเสร็จก็ทยอยยกมาเสิร์ฟเลย.....มื้อนี้แมรี่รับเป็นเจ้ามือ แด๊ดควักแบ้งค์ $1 ออกมาวางบนโต๊ะ 4 ใบสำหรับทิปสาวเสิร์ฟ....เห็นแล้วอยากแปลงร่างเป็นสาวเสิร์ฟในบัดนาว!!!



คลิกอ่านต่อ......

Sunday, June 28, 2015



บางครั้งการได้ "ใช้เวลา" นั่งดูภาพยนตร์สารคดีชีวิตสัตว์ที่บ้านกับหวานใจ สักเดือนละครั้งสองครั้งนี่ก็วิเศษนะ แบบว่า ขณะดูหนัง...สามีก็ดื่มเบียร์ ภรรเมียก็ทำตัวเป็น “แมว” คลอเคลียอยู่ข้าง ๆ แถมช่วยพากย์แบบขำ ๆ ในบางซีน เพราะว่าสัตว์มันพูดไม่เป็นไง...ที่จริงหวานใจเขาจะดูคนเดียวในโน้ตบุคที่ห้องทำงานของเขาน่ะแหละ แต่เราเรียกร้องว่าให้ยกเครื่องมาต่อเข้าทีวีแอลซีดีที่ห้องนั่งเล่น.... “นั่งดูด้วยกันน่าจะดีกว่ามั๊ยจ๊ะที่รัก?”.......สามีก็ “จัดให้


เรื่องแรกที่เราสองคนก็ได้มีโอกาสชมด้วยกัน คือ  Mystery Monkeys of Shangri-La ที่ผลิตโดย ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน ความยาว 1 ชั่วโมง ถ่ายทอด เรื่องราวการดำเนินชีวิตของ “ลิงจมูกรั้นยูนนาน” ที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ในป่าบนเทือกเขาที่สูงสุดที่สุดในโลกในมลฑลยูนนาน ประเทศจีน ลิงชนิดนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากลิงชนิดอื่น ทั้ง ปาก จมูก ใบหู และ ตา และมียังมีนิสัยอ่อนโยนมากกว่าลิงป่าชนิดอื่น ๆ อีกตะหาก

 ได้เห็น  “สังคมลิง” ที่มีทั้ง การต่อสู้ และ ความเอื้ออาทรระหว่างกลุ่ม และภายใน “ครอบครัวลิง”......ได้เห็น การดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิด การดูแลครอบครัวของผู้เป็นแม่ และความรับผิดชอบของลิงผู้เป็นพี่ การเรียนรู้เพื่อให้มีชีวิตรอดและเติบโต ของลิงเบบี๋ ที่แสนน่ารัก ได้เห็น ความรักความผูกพัน และการปกป้อง....


ครอบครัวนี้ที่กองถ่ายติดตาม ตลอด 4 ฤดู

โดยทีมถ่ายทำได้ติดตามครอบครัว  “ลิงจมูกรั้นยูนนาน” ครอบครัวนี้ที่มีด้วยกัน 5-6 ตัว ๆ พ่อ-แม่-ลูก ตัวสุดท้องน้องเล็กยังเป็นเด็กน้อย และดูเหมือนจะเป็นพระเอกของเรื่อง แม้จะหน้าตาของเจ้าจ๋ออีทีน้อยจะละม้ายคล้ายคลึง “อีที” แต่ดูแล้วช่างน่ารัก น่าเอ็นดูเหลือเกิน...คุณจะได้เห็น วิธีที่ลิงหลับช่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่การ “งีบ” ในตอนกลางวันหลังท้องอิ่มยัง ดูน่ารักและตลก 

อันนี้ไม่เรียกว่า งีบ แต่หลับใหลจริง ๆ ตอนกลางคืน

ตอนกลางวันไม่มีอะไรทำ ก็ง่วง แต่เจ้าตัวเล็กไม่ง่วง

ลิงพี่ใหญ่ กะ ลิงน้องเล็ก กำลังลี้ภัยขณะพ่อแม่ถูกลิงกลุ่มนักเลงบุกมาโจมตี

การฝึกหาอาหาร เรียนรู้ว่าอะไรกินได้และกินยังไง วิธีไต่กิ่งไม้ ห้อย โหน โจนทะยาน เจ้าอีทีอีทีน้อยตัวนี้ แสนซุกซน ตอนที่แม่และพี่ ๆ หลับกันหมด แต่ดูเหมือนมันยังไม่ง่วง เลยแอบผละจากอกแม่ออกไปฝึกฝนทักษะที่ได้เรียนรู้จากแม่ จากพี่ เป็นการทดสอบตัวเองว่าถ้า “ฉายเดี่ยว” แล้วจะรอดหรือเปล่า....มันก็ปีนป่ายไปทั่ว มีภาพหวาดเสียวให้ระทึกใจด้วยหละ

ลิงน้องเล็ก กำลังรับการฝึกฝนจากลิงพี่ใหญ่ ถึงวิธีหากินบางอย่างในเปลือกไม้
ลิงน้องเล็ก ออกมาฝึกวิทยายุทธตามลำพัง ขณะแม่และพี่ งีบตอนกลางวัน

ลิงน้องเล็ก กำลังคิดว่า จะไต่ไปจนสุดปลายกิ่งไม้ดีมั๊ยน๊า?.....แต่แล้ว....
ก็พลาดตกจากกิ่งนั่น ...จนได้ !!!!(ซีนนี้ลุ้นจนเผลอร้องเสียงดัง) 

กองถ่ายทำยังได้อวดภาพความสวยงามทั้งสี่ฤดูกาลที่พวกเขาใช้เวลาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดปี นอกจากนี้ยังจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน และสัตว์ที่อาศัยในหุบเขาพื้นราบอีกด้วย

ตัวอย่างภาพที่สวยงามภายในป่าแห่งนี้

ตัวอย่างภาพที่สวยงามภายในป่าแห่งนี้

ถ้าใครยังไม่เคยเห็นลิงน้อยงอแง หรือ อาละวาดเหมือนมนุษย์เด็กเพราะแม่ไม่ตามใจ ก็รีบๆดูเลย เพลิดเพลินกว่าดูสารคดีหฤโหดเกี่ยวกับการล่า ๆๆๆ ในทุ่งซาฟารี/แอฟริกา เป็นไหน ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ...ลิงพวกนี้เหมือนเป็น “นักแสดงมืออาชีพ” เลยละ และที่ประทับใจอีกอย่างคือ ฝีไม้ลายมือในการถ่ายทำของ Jacky Poo และ ทีมงาน “สุดยอดจริง” อดไม่ได้ที่ต้องเก็บภาพ Snapshot ไว้ดู.......... ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไม ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงได้รับรางวัล Xi Zhinong : Award-winning filmmaker…….สารคดีนี้เผยแพร่ผ่าน PBS's Nature channel

เหมือนเจ้าจ๋อน้อยกำลังมองทีมถ่ายทำ บางครั้งร้องเรียกอะไรสักอย่าง

เปียกปอนในฤดูหนาวที่ฝนตก

          หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ อีกสองสามวันต่อมาผู้ให้บริการ Hi-Speed Internet ส่งอีเมล์มาเตือนว่า คุณได้ใช้ดาต้าไป 89% ของ 20GB สำหรับความเร็ว 10Mbps แล้ว ความหมายคือ เมื่อไหร่ที่คุณใช้ครบ 100% จากนั้นคุณจะใช้ความได้แค่เพียง 2Mbps (โคตระช้า  โอ...พระเจ้า เน็ทเมกานี่มันขายกันเป็นกิก ๆ สู้ ทีโอทีเมืองไทยของดิฉันไม่ได้ ใช้ไปเลยแบบไม่อั้น ดูซีรีย์เกาหลีออนไลน์วันละ 16 ชั่วโมง จ่ายแค่ 690 รวม Vat......คิดถึง Thailand ทุกครั้งที่เจอเน็ทโลว์!!!!