Tuesday, June 2, 2015

ตกปลาที่ เทรลออฟเทียร์สสเตทปาร์ค

      ก่อนเล่าขานเรื่องราวการตกปลา ก็อยากเกริ่นแนะนำสถานที่ก่อนพอเป็นพิธี ได้ข้อมูลจากวิกิฯน่ะเอง เอาแบบสั้น ๆ ละกัน (อ้อ..ขณะที่กำลังเล่าอยู่นี่ คนเล่านั่งๆ นอน ๆ อยู่ที่อเมริกาจ้ะ...)



  "Trail of Tears State Park มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ในปี คศ. 1836 และ 1839 ชนชาวพื้นเมือง     เชอโรกี (Cherokee Nation) ที่อาศัยอยู่ในดินแดน “ของตัวเอง” ในรัฐ จอร์เจีย, เซาท์แคโรไลนา, นอร์ทแคโรไลนา, เทนเนสซี, เท็กซัส และ อลาบามา ได้ถูกทางการบังคับให้ย้ายถิ่นไปอยู่รวมกันทั้งหมดที่ Indian Territory (ปัจจุบันคือ โอกลาโฮมา) ฝั่งตะวันตกของอเมริกา.... ในระหว่างทางที่ย้ายทำให้ชนชาวพื้นเมืองเชอโรกี เสียชีวิต 9 คน พร้อม ๆ กัน และบทสุดท้ายของการย้ายถิ่นมีประชากรย้ายไปประมาณ 4,000 คน

  ต่อมาในปี ในปี 1970 ทางการได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งโบราณคดี ของประวัติศาสตร์แห่งชาติ เพื่อรำลึกถึงหรือไว้อาลัยต่อ (ความขมขื่น) ของ “ชนชาวพื้นเมืองเชอโรกีอเมริกัน” ที่เสียชีวิตบน “เส้นทางรอยน้ำตา” แห่งนี้
Trail of Tears State Park  มีพื้นที่ทั้งสิ้น 3,415 เอเคอร์ เป็นสวนสาธารณะของรัฐมิสซูรี่ (บริหารจัดการโดย Missouri Department of Natural Resourcesสวนสาธารณะนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำมิสซิสซิปปีในเขต Cape Girardeauที่จอดรถได้จัดให้มีศูนย์แสดงข้อมูลเกี่ยวกับ Trail of Tears และตัวอย่างของสัตว์ป่าท้องถิ่นไว้ด้วยสรุปกิจกรรมที่สามารถทำได้ในสวนสาธารณะแห่งนี้ ได้แก่ การตั้งแคมป์, ตกปลา, ปิกนิก, ว่ายน้ำและการเดินป่า, มีเส้นทางสำหรับทั้งพวกแบ็คแพ็คและผู้ใช้ม้าด้วย สวนสาธารณะแห่งนี้มีสี่เส้นทางที่จัดไว้สำหรับกิจกรรมดังกล่าวมาแล้ว ได้แก่
  1.  Peewah Trail ระยะทาง 9 miles (14 km)
  2. Sheppard Point Trail ระยะทาง 3 miles (4.8 km)
  3. Lake Trail ระยะทาง 2.25 miles (3.62 km)
  4. Nature Trail ระยะทาง 0.6 miles (0.97 km)"



           หันมาเข้าเรื่องกันเลย....เส้นทางเข้าไปที่ Trail of Tears State Park เป็นทางลาดยางเล็ก ๆ แค่รถสวนกันได้ Google Map บอกว่าระยะทางจากบ้านเรามาถึงที่นี่เพียง 11.2 miles ใช้เวลา 26 นาที... สองข้างทางเป็นป่าไม้ต้นสูงชะลูด ออกใบเขียวชอุ่มกันเต็มป่าแล้ว ส่วนดอกไม้ที่เคยเห็นตอนต้นฤดูสปริง ตอนที่มาครั้งแรกต้นเมษายน ได้ร่วงโรยไปหมด แต่มีไม้พุ่มอย่างอื่นกำลังออกดอกสีขาวตามแนวระหว่างทาง และในเขตสวนสาธารณะ ส่วนต้นไม้ที่ไม่มีดอกสวย ๆ ที่ปลูกในบริเวณ Park ส่วนมากเป็น Maple, Oak มี Gum Tree บ้าง ส่วนต้นอื่นไม่รู้ชื่อ...



      ขณะขับรถอยู่บนสันเขา จะมองเห็นไหล่ทางเป็นเหวลึ้กลึก ดูน่ากลัว... แต่มันไม่เหมือนเหวแบบหน้าผาหินอะไรทำนองนั้น ทั้งป่า...เป็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยดิน แนวสันเขาดูเหมือนจะขนานไปกับแม่น้ำ Mississippi ในบางช่วงจะมี “จุดชมวิว” แม่น้ำไว้ให้ สองสามจุด The very impressive view of the Mississippi River  เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุด ที่คีธพาไปเมื่อต้นเดือนเมษายน เป็นปลายฤดูหนาวและยังหนาวอยู่ไม่น้อย ตรงนั้นสามารถมองเห็นอิลลินอยส์ ที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ  คิดว่าไว้รอ “ฤดูใบไม้ร่วง” ช่วงพฤศจิกายนจะไปอีกครั้ง ตอนนั้นจะได้เห็นสีส้มๆ แดงๆ เหลืองๆ ไปทั้งป่า คงงดงาม กว่าฤดูอื่น ๆ เป็นร้อยเท่า



        
       เราขับรถมาถึงประมาณบ่ายโมงเศษ ๆ ท้องฟ้า อากาศ ยามนี้ปลอดโปร่ง จะเรียกว่า “ซันนี่เดย์” ยังได้ เมื่อสาดสายตามองไปรอบ ๆ ดูรถราที่จอดอยู่ และผู้คนยังบางตา ทำให้คีธสามารถเลือกทำเลที่ตั้งอาหารว่างของเราได้ไม่ยาก ส่วนเรานั้นยังไม่ตามไป ยังวนเวียนอยู่บริเวณที่จอดรถเพราะตรงนั้นมีแนวไม้พุ่มออกดอกสวยสะพรั่ง ตระการตา น่าถ่ายรูปยิ่งนัก ไม่พลาดอยู่แล้ว  เมื่อเก็บภาพ ดอกไม้ พุ่มไม้ ต้นไม้ และใบไม้สารพัดรูปร่าง จนเป็นที่พอใจ ก็ชะเง้อคอมองหาสามี  เธออยู่ไหน???...โอ้ว..เขากำลังเพลิดเพลินกับการตกปลาริมตลิ่งโน่น... ห่างจากผู้คน เขาทิ้งเบ็ดไว้ให้เราที่โต๊ะวางอาหาร ดูช่างไม่กลัวใครมือกาวสาวเอาไปเลยเนอะ...

        เราทิ้งสิ่งของไว้ที่โต๊ะนั่น แล้วผละไปหาที่ถ่ายรูปมุมอื่น ๆ เสร็จแล้วก็เกิดอยากจะ Selfies (ครั้นจะใช้สามีถ่ายให้ก็กลัวจะได้ภาพเบลอ ๆ เช่นที่ผ่านมา) เอาละ(วะ) วันนี้เตรียมรีโมทกล้องนิคอนมาด้วย ลองดูสักตั้ง หาที่เหมาะ ๆ วางกล้อง (เพราะไม่มี Tripod ไม่ได้แบกมาจากเมืองไทย)  พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น “เตาบาร์บีคิว” ที่ทางการจัดไว้ให้ทุกโต๊ะ (ดีขนาดไหนล่ะ) เหมาะเจาะดีแท้ เมื่อเล็งหาโลเกชั่นให้ตัวเอง ก็เห็นม้านั่งริมทะเลสาบ โอ้ว..เพอร์เฟ็ค...ไปนั่งทำหน้าแป้นแว้น แล้วกดรีโมท...ว้า! มันออกจะไกลเกินรีโมทไปไม่ถึง  เลยต้องขยับมาครึ่งทาง นั่งที่โต๊ะอาหารแถวนั้นแหละ

โห...กว่าจะได้ภาพดี ๆ สักภาพ (ที่หัวไม่หาย) ต้องเดินไปเดินมาเพื่อเช็คภาพ เล่นเอาดอกไม้ใบหญ้าที่ขึ้นบริเวณ “เตาบาร์บีคิว” ราบพนาสูญไปเลย... น่าสงสารมันจัง (ดีนะที่เราเก็บภาพมันไว้ก่อน) ระหว่างถ่ายทำ...ได้ยินเสียงสามีตะโกน   I got itเมื่อหันไปก็เห็นคีธถือคันเบ็ดที่มีปลาห้อยต่องแต่ง ดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ เราก็รีบวิ่งไปดู และถ่ายรูปไว้เดี๋ยวโพสต์ในเฟสบุค ตัวไม่ใหญ่แต่ในรูป “ใหญ่มว๊าก”....
       พูดถึงการตกปลาในที่สาธารณะคีธบอกจะต้องมีใบอนุญาต โดยต้องยื่นคำขอเช่นเดียวกับการขอทำใบอนุญาตขับขี่รถ ทางการจะออกใบอนุญาต แบบที่เป็น “บัตร” พิมพ์ด้วยกระดาษ (เหมือนบัตรรับรองสิทธิประกันสังคมเมืองไทยเลย) เวลาไปตกปลาไม่ว่าที่ใด ๆ  พลเมืองต้องพกพาไปแสดงเมื่อเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ... ตอนแรกคีธบอกว่าเราตกไม่ได้หรอกผิดกฎหมาย เราแย้งว่า “เวลายูตกปลาครั้งก่อนที่ Cape Girardeau County Parks (South)  ไม่เห็นมีใครมาขอตรวจ รวมทั้งคนอื่น ๆที่ตก ๆ กันก็ไม่เห็นใครมาตรวจสักคน...นั่นแหละ เราถึงได้มีเบ็ดตกปลา “เป็นของตัวเอง” (ไม่ได้ซื้อหรอก แค่ไปเอามาจากบ้านพ่อแม่คีธพร้อมที่ใส่ปลา" ที่นี่เราสามารถตกปลา ในพื้นที่ 20 เอเคอร์ (81,000 ตรม.) ในทะเลสาบ Boutin และในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้  ทะเลสาบที่นี่ดูแล้วน่าจะกว้างและลึกกว่าที่ Cape Girardeau County Parks (South)  น้ำก็ใสกว่า แต่ริม ๆ ฝั่งจะมีตะใคร่น้ำผสมกับพืชน้ำพวกสาหร่ายขึ้นหนาเชียว ทุกครั้งที่คีธลากเบ็ดขึ้นมาก็จะติดสาหร่ายมาด้วย 

คีธตกได้ปลา “บลูกิล” (Bluegill) มาสองตัว กะจะกินคนละตัว แต่คิดแล้วก็ให้สงสารมัน น่าจะปล่อยเจ้าตัวเล็กไป ไว้รอมันโตกว่านี้ค่อยไปเอาคืน (ฮะ ๆ) งานนี้ คีธได้แสดงบทเป็นทั้ง “ผู้ล่า และ ผู้ฆ่า” เราตั้งใจจะทำปลาส้ม และจะให้ชื่อว่า “ปลาส้มพลัดถิ่น” (ไม่รู้เกิดเหี้ยนไรขึ้นมา ตอนอยู่เมืองไทยไม่เคยสนใจปลาร้า ปลาส้ม แต่พอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เกิดพิศวาส อาหารพื้นถิ่น เหอ ๆ ยายแพทเอ๊ย เธอคิดว่าสามีจะกินปลาส้มเธอลงหรอ....)

       ประมาณบ่ายสามโมงผู้คนก็เริ่มทยอยพาครอบครัวมา Picnic กันมากขึ้น นี่อาจเพราะวันนี้เป็นวัน "แม่" ของอเมริกันชน หรือ Mother’s Day พวกเค้าก็มาใช้เวลาด้วยกัน ทางการก็เตรียมอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ เตาย่าง BBQ ไว้ให้ทุกโต๊ะเลย มีเครื่องเล่นของเด็ก ๆ สองสามอย่างที่สนาม อีกด้านทิศเหนือของทะเลสาบ ก็ทำพื้นที่ไว้ให้ลงไปเล่นน้ำ โดยกั้นทุ่นไว้รอบ ๆ กันออกนอกพื้นที่น้ำตื้น บางครอบครัวก็เลือกที่จะเล่นวอลเล่ย์บอลบนหาดทราย พ่อบางคนก็เอา “รัคบี้” มาโยนให้ลูกชายตัวน้อยฝึกตี สงสัยกำลังจะลงแข่งกีฬา งานนี้มีเฮ ได้เหรียญแน่...




       ก่อนจะกลับออกมา เห็นมีสองสามคนเอาเรือลงไปพายเล่นในทะเลสาบอีกฝั่ง กล้อง Nikon ของเราก็เทคจนหมดแบตฯ คาที่ กล้องมือถือแม้จะถ่ายชัดแจ่มแจ๋ว แต่ก็ถ่ายภาพไกล ๆ ขนาดอีกฝั่งไม่ได้ดีแน่ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา  คีธเลิกตกปลาเพราะเมฆฝนตั้งเค้ามา เราก็กินของว่างที่เตรียมไปก่อนจะกลับออกมาตอนบ่ายสามกว่า ๆ 

            ทุกครั้งที่นั่งรถออกจากบ้าน เราจะชอบมองวิวทิวทัศน์ตลอดทาง เพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจากฤดูหนาวบ้าง สิ่งหนึ่งที่ได้เห็น และชื่นชม คือ การที่ผู้คนทำให้พื้นดินกลายเป็นสีเขียว และหมั่นรักษามันให้ดูดี สะอาด สะอ้าน อยู่ตลอดเวลา ....ทุกพื้นที่ว่างเปล่าของเมือง ไม่ว่าจะเป็นริมถนนหนทาง สนามรอบอาคารบ้านเรือน /ร้านรวง/บริษัท แม้แต่พื้นที่ติดแนวป่า พวกเขาไม่ปล่อยพื้นดินว่าง ๆ รก ๆ พวกเขาจะปลูกหญ้าคลุมไว้เหมือนปูพรมสีเขียว และทุก ๆ สองอาทิตย์ จะได้ยินเสียงรถตัดหญ้าทำงานกันกระหึ่มทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น เกือบทุกบ้านต้องมีรถตัดหญ้า เช่นเดียวกับที่ต้องมีเครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า และรถยนต์นั่งนั่นแหละ (อดแอบคิดเล่น ๆ ไม่ได้ ว่า ถ้าบังเอิญมีใครเจ็บป่วยถึงขั้นโคม่า จน กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่รู้หลับใหลนานกี่ปีดีดัก หากอยู่มาวันหนึ่งมีเจ้าชายมาจูจู๊บปลุกให้ตื่น แล้วพอเธอได้ยินเสียงบางอย่างดังกระหึ่ม แน่นอน...เธอจะรู้ในทันทีว่า นี่คือ “ฤดูใบไม้ผลิ” เพราะมันคือ “เสียงรถตัดหญ้า” นั่นเอง...)


วันพิเศษอย่างนี้....ก่อนกลับเราสองคนก็แวะไปหา Mom ที่บ้านเพื่อเอา  Mother’s Day Card ไปให้เธอ เราเตรียมของเราใบนึง ของคีธใบนึง โดยใช้การ์ดเปล่าที่มีอยู่มากมายในลิ้นชัก จัดแจงพิมพ์ข้อความ “จากใจ” สำหรับเธอเป็นพิเศษ พร้อมใส่ภาพที่เรากำลังกอดเธอเมื่อครั้งที่เจอกันครั้งแรกที่เดินทางมาถึงอเมริกา...แม้เราเป็นเพียงสะใภ้แต่ตลอดเวลาห้าเดือน เธอปฏิบัติต่อเราเหมือนลูกสาวคนนึง เราจึงรักและเคารพเธอเหมือน “แม่ของตัวเอง”.... Happy Mother’s Day! I love you, mom. คำนี้ที่เราเขียนในการ์ด   คืนนั้นโพสต์ภาพขึ้นเฟสบุคยี่สิบกว่าภาพ ปิดท้ายด้วยภาพตัวเองกอดมัม (ถ้าไม่ลืมถ่ายการ์ดไว้นะจะเจ๋งกว่าอีก) สองวันต่อมา น้าเวอร์จิเนียร์ โพสต์ในเฟสบุคที่ภาพนั้นว่า “ฉันชอบภาพนี้มาก และบาบาร่าแสนจะภูมิใจกับการ์ดที่ได้รับจากลูกสะใภ้ของเธอ(บาบาร่าคือแม่สามีเราเองจ้ะ)…..และแล้วสองวันต่อมา แม่สามีที่แสนประเสริฐ ก็ไปช้อปที่ JCpenny หอบเครื่องดูดฝุ่น "สุดล้ำ" มาให้ลูกสะใภ้จนถึงบ้าน....นี่ไง....จะไม่ให้รัก...ทนได้ไง..
Thanks Mom, I love you more.



Monday, June 1, 2015


ขอบคุณภาพจาก วิกิพีเดียฯ

การเดินทางออกนอกประเทศบ้านเกิดครั้งแรก ไม่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปไหนไกล ๆเหมือนคนอื่น ๆ หรอก แค่วิ่งตามเพื่อนที่เขาอุตส่าห์นึกถึงอยากมีเราร่วมทาง แค่นี้เราก็สุดแสนจะยินดีปรีดาปราโมทย์ โดยไม่คิดจะตรวจสอบงบประมาณว่าเท่าไหร่ โปรแกรมเป็นไง ได้ข้อมูลแค่ต้องไปขึ้นรถที่หมอชิตตอนสองทุ่ม จุดหมายปลายทางคือ วังเวียง ประเทศลาว จะถึงกี่โมงยามนั้น ข้ามไปเลย..ไม่คิด ....นี่เพียงแค่หวังจะให้พาสปอร์ตของตัวเองที่ทำไว้เกือบปีได้ถูกประทับคำว่า "วีซ่า" สักครั้งเพื่อให้ง่ายสำหรับการจะเข้าอเมริกา...ประเทศอันเป็น “เป้าหมาย” ลำดับถัดไป เพราะมีเสียงร่ำลือว่า “เข้ายาก”  หลายคนบอกว่า วังเวียง เป็นเมือง “ชิลเอาท์” (Chill out) ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเมืองที่มีแม่น้ำที่ชื่อ “แม่น้ำซอง” ไหลผ่าน เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์ (Backpacker) หรือพวกแบกเป้ใส่หลังนิยมมาหลังจากเดินทางไปเที่ยวเวียงจันท์และหลวงพระบางแล้ว เพราะอยู่ระหว่างทาง ประมาณกึ่งกลางระหว่าง หลวงพระบางและเวียงจันทน์พอดี นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมมาล่องห่วงยางหรือที่เค้าเรียกกันว่า Tubing กันที่นี่.....หนังสือท่องเที่ยวอย่างโลนลี้แพลนเนทให้คำจำกัดความเมืองวังเวียงนี้ว่า "Paradise Lost" หรือสวรรค์ที่สูญหายไป ให้ความหมายขนาดนี้คงต้องไปสัมผัสกันบ้าง ...พร้อมแล้วเดินทางไปพร้อมกันเลย ว่ากันตั้งแต่เริ่มการเตรียมสรรพสิ่งเลยละกัน
เนื่องจากน้องที่ทำงานเก่า (เจ้าของทริป) สั่งนักหนาว่า “พี่...เป้เท่านั้นที่ต้องการ กระเป๋าหรูอย่างอื่นอย่าเอาไป” เราก็เชื่อฟังแต่โดยดี ไม่ถามหาเหตุผลเพราะมัวยุ่งกับการขายของที่ร้าน เป้ใบแรกในชีวิตก็ได้ถูกซื้อมาจากตลาดนัดเช้าที่ตลาดนิคมบางปู สนนราคาใบละสองร้อยปลาย ๆ ใบใหญ่และขยายความสูงได้ด้วย จัดการแพ็คเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว (อันนี้ขาดไม่ได้แม้ว่าที่พักจะเตรียมไว้ให้เราก็ไม่คิดอยากจะใช้) เครื่องสำอาง (เอาไปแค่ครึ่งเดียวพอ ขืนแบกไปแบบ Full option มีหวังซื้อเป้อีกใบ) รองเท้าแบบสปอร์ต (ปีที่แล้วใส่ไปย่ำเชียงราย-เชียงใหม่สามวันสองคืน คิดในใจ ยังพอใช้ได้ อย่าซื้อใหม่เลย) กางเกงยีนส์ (ไว้ใส่ตอนกลับ) เพิ่มยีนส์ขาสั้นไปอีกตัวกับเสื้อยืดสองตัวละกัน (เผื่อเที่ยวกลางคืนกับตอนนอน) ยาแก้ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ ท้องเสีย ยาทาแก้คัน (เผื่อมียุง มดกัด) ยัดใส่ไปเรียบร้อยทุกซอกมุมของเป้ หันมาสำรวจอุปกรณ์ความพร้อมของ มือถือ กล้องถ่ายรูปบ้าง เอ้า โครบ... ปิดร้านตั้งแต่ห้าโมงเย็น กินข้าว อาบน้ำแต่งตัว เสร็จหกโมงครึ่งก้าวขาขวาออกจากบ้าน พร้อมเป้หนึ่งใบ กระเป๋าบรรจุกล้อง Nikon อีกใบ แบกออกไปเรียกแท็กซี่หน้าถนน ไม่เอารถไป เพราะไม่คิดว่าจะมีที่ให้จอด
ได้แท็กซี่คันแรก มันไม่ไป ไม่รู้มันจะไปไหนของมัน คันที่สอง มันไป...แต่ดูอาการของการจาจรแล้ว ชักไม่มั่นใจเลยบอกมันว่าไปเส้นทางที่เร็วที่สุด จะทางด่วนกี่ขั้น ๆ ก็ต้องไป กลัวตกรถ (ที่สำคัญจะโดนด่าอีก) วันนั้นจ่ายค่าแท็กซี่จากตลาดนิคมบางปูไปถึงหมอชิต สี่ร้อย ทอนห้าบาท...(พระเจ้า!) ถึงหมอชิตใกล้ ๆ สองทุ่ม (ยังทันการณ์) โทรหาคนนำทีมเสร็จเจอกัน ได้ตั๋วมาเรียบร้อยจำราคาไม่ได้แล้ว แต่มันบอกรถออกสามทุ่ม (อ้าวแล้วกัน ทะลึ่งนัดสองทุ่ม เรางี้รีบแทบตายแถมจ่ายค่าเดินทางมาไม่อั้นอีก โธ่ว้อย!)
เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ...โอ้โห! รถ NCA First Class ของนครชัยแอร์ มันน่านั่งดีพิลึก จะใช้คำว่าทันสมัย หรือว่าล้ำสมัย ไม่แน่ใจซะแล้ว ไม่เคยใช้บริการรถปรับอากาศ บขส. มาตั้งแต่ปี 2538 ก่อนหน้านั้นสมัยเป็นสาว ๆ จำได้ว่าเคยนั่งรถโค้ช หรือรถทัวร์ท่องเที่ยวสองสามครั้ง นั่นว่าดีสุดแล้วละ แต่มันผ่านไปสามสิบปีแล้ว อะไรคงเปลี่ยนไปมากโขนะ ที่ว่าล้ำสมัย นั่นเห็นจะเป็น เก้าอี้ตัวเขื่องระบบดิจิตอล ปรับนอนได้เกือบราบ ปรับที่วางขาหดยืด แถม มีฟังก์ชั่น “นั่งไปนวดไป” มีคอมพิวเตอร์จอน้อยไว้สำหรับ Enjoy myself แบบออนดีมานด์ พร้อมหูฟังอันเบ้อเร้อ (NCA First Class ให้บริการแบบ รถด่วน รับผู้โดยสารเฉพาะต้นทางและปลายทางเท่านั้น ไม่มีจุดจอดระหว่างทาง) ประมาณเนี้ย.... รถออกตัวไปได้สักพัก แอร์โฮสเตส เอ๊ย! โฮสเตสสาวสวย ก็ถือไมค์ประกาศทักทายผู้โดยสาร แนะนำการใช้เก้าอี้ล้ำสมัย เข็มขัดนิรภัย จุดหมายปลายทาง และสถานที่แวะพักระหว่างทาง  อา!...ประหนึ่งว่านั่งเครื่องบินอย่างที่เคยดูในหนังปานนั้น
พวกเรานั่งรถตลอดคืน ไปถึงสถานีขนส่งอุดรธานี ตอนตีสี่...เมื่อเดินเข้าไปในสถานี ภาพที่ปรากฏแก่สายตา ทำให้ งง และ งวย...มีผู้คนนอนเหยียดยาวหลับใหลตามม้านั่ง ที่โต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ก็มีคนนั่งฟุบหลับหลายคน 


มุมขายตั๋วก็มีชายสองคนนอนราบกับพื้นอย่างหลับสบายอารมณ์เหมือนบ้านตัวเอง หันไปอีกด้านที่มีโต๊ะสองตัวก็เห็นทหารสามตัว เอ๊ย! สามคนนั่งหลับ “แบบหมดสภาพ” บนโต๊ะนั่น อ๊ะ! Sparkling idea ดึงกล้องออกมาหวังจะถ่ายช็อตเด็ดเพื่อเอาไปโพสต์ แต่ไม่ทันซะแล้ว เค้าตื่นมาเห็นพอดี แล้วก็รีบปั้นท่าให้เหมือน “ท.ทหารอดทน” ตามปกติ แป่ว!!!
พลันคิดว่าอืม.. ได้ต่อรถซะที แต่การณ์ไม่เป็นเช่นนั่นเมื่อหันไปถามไอ้น้องหนิงหน่องว่า “แล้วต่อรถตรงไหนล่ะนี่” มันบอก “พี่...มองหาที่นอนเอาแรงรอรถพรุ่งนี้เช้าตอนแปดโมงครึ่งนะ...หนูจะนอนตรงนี้แหละ” มันสั่งเสียเสร็จก็นอนไม่รู้ไม่ชี้กันทั้งสองคน โอพระเจ้า..ชีวิตฉันช่างรันทดอะไรเช่นนี้ ต้องมานอนกลางดินกินกลางทราย คล้ายนกขมิ้น มองดูเวลา คิดว่าฆ่าเวลาด้วยการเอาคู่มือกล้องมานั่งอ่านทบทวนจนกว่าจะสว่างละกัน...สรุปว่าไม่ได้นอนหรอกนะจะบอกให้.. (ไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วการเดินทางไป วังเวียง เส้นทางไหน “ดีที่สุด” บางคนอาจ เลือกใช้ หมอชิต-อุดร-หนองคาย-วังเวียง หรือว่า หมอชิต-หนองคาย-วังเวียง ไม่รู้จริง ๆ นะเนี่ย)


ในที่สุดก็รุ่งเช้า ช่องขายบัตรเริ่มทยอยเปิดตัว ผู้คนก็ทยอยมาเข้าแถวซื้อไปโน่นนี่เลือกช่องเอาตามป้ายที่แสดงด้านบนมีทั้งไทย-อังกฤษ ไอ้น้องมันก็เข้าแถวซื้อช่อง วังเวียง เสร็จแล้วก็มานั่งรอ สักพักไม่รู้คิดไงบอกเราว่าจะซื้อตัวขากลับไว้เลย เราก็โอเค ว่าไงก็ว่าตามกัน เราย้ายจากด้านในออกมานั่งรอรถด้านนอกตรงชานชาลา ตอนนั้นรถชุกชุม ทุกคันไม่ยอมดับเครื่องยนต์ ระดมปล่อยไอเสียประชันกันยกใหญ่ ยากที่จะหายใจหายคอ สุดแสนจะทรมาน เราต้องหนีออกไปอยู่รอบนอกอาคารสถานีขนส่ง เดินโต๋เต๋ดูนี่นั่นไปพลาง ๆ แม้จะได้กลิ่นไอเสียแต่ก็เบากว่านั่งสูดที่คิวรถแหละ ยัยหนิงหน่องกับยายแตนมันก็เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ปัสสาวะ เตรียมความพร้อม ระหว่างนั้นสายตาของเจ้าหล่อนก็พลันไปป๊ะเข้ากับฝรั่งหนุ่ม (กำลังได้ที่) รูปงามคนที่ยืนรอคิวซื้อตั๋วตอนเจ็ดโมงเช้าแถวถัดไป (มันสารภาพตอนหลังว่าส่งสายตากันตอนนั้นแหละ) นั่งอยู่บนรถตอนหน้า ป้ายติดไปหลวงพระบาง ยัยหนิงหน่อง นอกจากจะส่งสายตาหวานฉ่ำแล้วคราวนี้ยังเขวี้ยงยิ้มใส่ด้วย แล้วก็มีการส่งซิกเชิญชวนอะไรสักอย่าง เออเอากะมัน....นี่ถ้าไปคันเดียวกันมีหวัง “ได้เสีย”....สาวโสด รสจัด ก็เงี้ย....

แปดโมงครึ่งหมดเวลาส่งสายตา...ต่างคนต่างไป...ล้อหมุนนำพาพวกเรามุ่งหน้าไปยังสถานีขนส่งหนองคาย แล้วต่อรถ “หนองคาย-วังเวียง” มุ่งหน้าไปที่ชายแดนไทย-ลาว พขร. แจ้งให้ทุกคนเตรียมพาสปอร์ต ทุกคนต้องเอาสัมภาระของตัวติดตัวไปด้วย เมื่อลงจากรถแล้ว พขร. ก็ขับรถข้ามแดนไปจอดรอในที่อันควร เจ้าหน้าที่ก็เอาเอกสารมาให้กรอกแล้วแนบพาสปอร์ตเข้าคิวตามช่องเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจประทับตราขาออก เสร็จแล้วก็ผ่านช่องตรวจสัมภาระซึ่งไม่ได้เข้มงวดตรวจร่างกายด้วย ยืนรอเป้ไหลออกมา...รับแล้วก็ออกช่องอีกด้านไปขึ้นรถ ช่วงนี้ใครใคร่เข้าห้องน้ำก็ตามสะดวกเลยจ้า... 

กรอกข้อมูลส่วนตัว-ฝั่งไทย (ขาออก)
เข้าคิวยื่นเอกสารที่กรอกเสร็จพร้อมพาสปอร์ต


รถวิ่งต่อมาอีกระยะหนึ่งก็จะเข้าแดนลาว ต้องจอดและลงไปประทับวีซ่าขาเข้าประเทศ มีค่าธรรมเนียมนิดหน่อย เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการผ่านเข้าประเทศลาว 

ด่านฝั่งประเทศลาว ยื่นเอกสารขาเข้าประเทศ











รถทัวร์ก็พาเราวิ่งปุเลง ๆ ไปตามถนน มุ่งหน้าสู่ วังเวียง ที่หมายปลายทาง ระหว่างนั้นฝนก็ตกตลอดทาง รถแวะให้พวกเราพักกินอาหารเช้ากลางทาง ตรงนั้นเป็นที่พักรถทั้งขาไปและกลับ มีห้องน้ำให้เข้าสี่ห้าห้อง ค่าบริการห้าบาท อาหารยอดฮิต คือ แซนด์วิช ที่ใช้ขนมปังฝรั่งเศสก้อนเล็ก (ไม่รู้เรียกถูกรึเปล่า ไอ้ที่เขาใช้ทำฮอทด็อกน่ะแหละ) ผ่าแล้วใส่เครื่องลงไปซึ่งก็มีหลายออฟชั่นให้เลือก แค่ชี้เอาว่าอยากกินอะไร เช่น ไก่นักเก็ต ทูน่า ไข่ดาว ไส้กรอก เบคอนทอด ราดด้วยซอสมะเขือเทศ อื้อ...อร่อยจริง ๆ แหละ ค่าเสียหายชิ้นละสี่สิบบาท “อิ่มตลอดทาง” ขากลับก็กินเหมือนเดิม แถมมีการต่อรองแม่ค้าขอซื้อขนมปังเปล่า ๆ มาคนละ สามก้อน ลดเหลือหกสิบบาท หวังจะทำกินเองที่เมืองไทย (แต่ทำจริงแล้วไม่อร่อยเหมือนสาวลาวทำเลยหิ)

        
      ระหว่างทางหลังจากหลับ ๆ ตื่น ๆ หลายตลบก็ไม่รู้จะทำไรควักกล้องออกมาถ่ายรูปบ้านเรือน ท้องทุ่ง สะพาน ภูเขาไปเรื่อย....เห็นการปลูกข้าวของพี่น้องชาวลาว ดูเหมือน ๆ กับพี่ไทยเรานี่แหละ แต่ว่าแปลงนามันเล็กกะทัดรัด น่าเอ็นดู้...ช่วงที่เป็นภูเขาพวกเขาจะปลูกข้าวแปลงเล็ก ๆ ตามที่ราบระหว่างเนินเขา















ส่วนบ้านเรือนนั้น ก็ปลูกสร้างกันตามฐานะ คล้ายบ้านเรา มีตึกแถว บ้านปูน มุงกระเบื้อง แต่ก็เห็นมีหลายหลังที่เป็นบ้านแบบเรือนไม้ หลังคาสังกะสี บางหลังยังใช้ฝาขี้ฟากอยู่เลย (ฟาก หรือขี้ฟาก คือ ลำไม้ไผ่ที่ถูกสับตามแนวยาวให้ฉีกออกจากกันแล้วแผ่ออกเป็นแผ่น หนึ่งลำต่อแผ่น เวลาเอามาปิดเป็นฝาเรือนก็เอามาวางต่อกันตามแนวขวางแล้วใช้ฆ้อนตอกตะปูตรึงไว้กับคร่าวไม้ไผ่ หรือบางครั้งอาจใช้ลวดผูกแทน ฝาบ้านไม้ไผ่นี้เวลาฝนตกน้ำฝนจะสาดผ่านเข้าบ้านได้ ถ้ามีข้าวของวางไว้ชิดฝาเรือน ต้องรีบย้ายไว้กลางเรือน...คนเขียนกำลังนึกภาพตัวเองทำอย่างงั้นอยู่...) 
ในที่สุดรถก็วิ่งเข้าสู่ตัวเมืองวังเวียง มองเห็นขุนเขาเขียวครึ้มอยู่ข้างหน้า ภาพที่น่าตื่นตายิ่งกว่า คือ ปุยเมฆขาว ๆ ล่องลอยอ้อยอิ่งโลมเล้าตลอดความยาวแนวขุนเขา นี่ละมังที่ผู้คนเรียกที่นี่ว่า “กุ้ยหลินน้อย” ภูเขาที่มีรูปลักษณ์เฉพาะตัวคล้ายขุนเขาในเมืองกุ้ยหลิน ประเทศจีน 


สารถีพารถเข้าเทียบชานชาลาที่สถานีขนส่งวังเวียง ทุกคนกุลีกุจอขนสมบัติลงจากรถ เดินออกจากสถานีที่ไปหน้าถนน จะไปทางซ้ายหรือทางขวาก็เลือกเอา พวกเราสามคนเลือกที่จะไปทางขวา เราเดินหันซ้ายหันขวามองหาที่พักเห็นมีที่น่าสนใจอยากจะนอนอยู่สองสามแห่ง แต่แค่เล็งเอาไว้ นาทีนี้เมื่อมองเวลาในมือถือมันเป็นเลข 16.15. ตายละมันจะค่ำแล้วจะทันได้ดูไรมั๊ยเนี่ย คิดคนเดียว ในใจว่าอืม.. มีเวลาเดินทัวร์กว่าจะค่ำก็ได้เต็มที่สองชั่วโมงนะ พรุ่งนี้ค่อยตื่นแต่มืดออกไปทัวร์อีกวันก็ถมเถน่า...

เดินหาที่พัก

ยัยหนิงหน่องบอก “พี่เราเดินไปดูทางซอยนั้นก่อนค่อยตัดสินใจว่านอนไหนนะ” เราตอบโอเค แล้วก็เดินเข้าซอยข้างวัดไป สักร้อยเมตรเจอรถซูบารุคันนึงจอดอยู่ คนขับถามว่าจะใช้บริการรถเค้าไปเที่ยวทางด้านโน้นมั๊ย พวกเราต่อรองราคา 80 บาทไป-กลับ โอเคไปแบกสัมภาระขึ้นนั่ง รถวิ่งวนไปรอบ ๆ ตามถนนสองข้างทางเป็นที่พัก ส่วนมากเป็นเกสเฮ้าส์ไม่ใหญ่โตหรูหรา บางที่เหมือนกระต๊อบชายทุ่ง ไม่ถึงสิบนาทีคนขับบอกหมดแล้วสิ้นสุดแค่นี้ อารายวะเนี่ย? ยังไม่เห็นไรเลยนอกจากตลาดที่ขายของกับเกสเฮ้าส์..... ยัยหน่องเลยถาม แล้วแม่น้ำซองล่ะอยู่ไหน อยากจะไปที่ริมน้ำ?  คนขับบอกงั้นต้องเพิ่มเงินอีก หมายถึงคิดราคาใหม่อีกครั้ง สรุปว่าจ่าย 80+80 บาท 



พวกเรามาถึงริมลำน้ำซอง ตรงส่วนที่ไม่มีบ้านเรือน และที่พัก มันเป็นเหมือนท่าข้ามฟาก ซึ่งขณะนั้นน้ำเต็มสองฝั่งและไหลเชี่ยว คนขับรถรายงานว่า สองวันก่อนฝนตกหนักติดต่อกัน น้ำหลากจากเทือกเขาไหลเชี่ยวพัดเอาสะพานข้ามแม่น้ำขาด ตอนนั้นเราก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพายเรือข้ามมาจากอีกฝั่ง ที่จริงไม่ได้พายมาหรอก พวกเค้าสาวลวดสลิงพาเรือข้ามมา เพราะต้านแรงน้ำไม่ไหว เรือก็แบน ๆ น่าหวาดเสียวจะล่มเอา... เก็บภาพไว้ตามระเบียบ เราสามคนใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติที่ริมน้ำและถ่ายรูปกันพอสมควร 





สามภาพข้างบนนี้ได้มาจากเว็บบริษัททัวร์ เพราะเราเข้าไปไม่ถึงย่านนี้จริง ๆ (ขอบคุณเจ้าของภาพ)

โชเฟอร์ก็ชวนผู้โดยสารกลับ เลยบอกให้เขาเอามาส่งแถว ๆ “เฮือนพักสีสว่างเก็สท์เฮ้าส์” ที่เราเล็งไว้แต่แรก เมื่อสอบถามราคากันเรียบร้อยพวกเราก็เอาเป้ขึ้นไปเก็บที่ห้องพัก ซึ่งดูค่อนข้างใหม่ เราอยู่ชั้นสาม เพราะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศา ไม่มีอะไรบดบัง เมื่อเก็บของเสร็จพวกเราก็ออกไปเดินเล่น หันไปเห็นจักรยานให้เช่า เราก็คว้าเลยจ่ายคันละยี่สิบบาท แล้วก็ปั่นเที่ยวไปตามถนนและซอกซอย

เฮือนพักสีสว่างเก็สท์เฮ้าส์

วังเวียง เป็นเมืองท่องเที่ยวในแขวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ส.ป.ป.ลาว) อยู่ห่างจากเวียงจันทน์ประมาณ 160 กิโลเมตร และห่างจากเมืองหลวงพระบาง 210 กิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบระหว่างภูเขาหินปูน รูปทรงแปลกตาที่แลสลับซับซ้อน ตั้งสูงเด่นเป็นฉากหลัง ตัดกับเส้นขอบฟ้าและดูงดงามยิ่ง  มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์โอบกอดขุนเขา มี "ลำน้ำซอง" ไหลผ่าน ในฤดูแล้งจะมองเห็นสายน้ำกว้างสลับเนินทราย ลำน้ำสายนี้ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาววังเวียง ที่ใช้ในการเพาะปลูกพืชพันธุ์นานาชนิด เลี้ยงสัตว์ จับปลา ด้วยศักยภาพทางธรรมชาติที่โดดเด่นเช่นนี้สามารถดึงดูดให้ผู้คนมาท่องเที่ยวชื่นชมได้ไม่ขาดสาย นักท่องเที่ยวต่างขนานนามว่า “กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว”
เท่าที่เห็น 99% เป็นนักท่องเที่ยวชาวผิวขาว (แทบมองไม่เห็น  คนเอเชีย) สภาพร้านอาหาร/เครื่องดื่มรวง เกสท์เฮ้าส์ อารมณ์เดียวกับ “ถนนข้าวสาร” บางลำพูบ้านเรา เจ้าเมืองจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว พอประมาณ เท่าที่เห็น ก็มี Tourist Information สถิตอยู่บอร์ดตู้กระจกริมถนน ตู้โทรศัพท์ข้ามประเทศ ตู้เอทีเอ็ม 




ส่วนที่เป็นของภาคเอกชนก็มีร้านให้บริการเรือยางล่องแก่งในแม่น้ำซอง (ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้เราไม่พลาดรายการนี้แน่) นอกจากนั้นก็มีตลาดสด  ผลไม้ก็มีแบบเมืองไทย ร้านอาหารตามสั่ง คอฟฟี่ช็อป มีทั้งแบบเก้าอี้นั่ง กับแบบนั่งกับพื้นมีที่เบาะรอง รู้สึกฝรั่งจะชอบสไตล์นี้กัน  ฯลฯ


เมื่อขี่จักรยานผ่านที่พักเป็นแบบอาคารสามชั้นคล้ายตึก ก็พลันได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันเสียงดังลั่น แหงนหน้ามองไปก็เห็นฝรั่งหนุ่มสาวสังสรรค์กันข้างบน ก๊วนใหญ่ เชียวละ ไม่รู้ว่าพวกเขามาด้วยกัน หรือว่าแค่มา เจอ&จอย 


พวกเราปั่นจักรยานไปตามถนน ซึ่งดูเหมือนว่าจะวนได้รอบเขตเมือง เรามาหยุดดื่มด่ำกับบรรยากาศ ใกล้ริมน้ำ ผลัดกันถ่ายรูปกัน จนฟ้าเริ่มมืด เราคงต้องกลับแล้ว 


ก่อนเข้าที่พัก แวะหาอาหารกินกันก่อน เลือกร้านแถว ๆ ที่พักน่ะแหละ กินก๋วยเตี๋ยวกัน สั่งส้มตำมาชิมจานนึงอยากรู้รสชาติส้มตำสไตล์ลาวเป็นไง อืม...มันบอกไม่ถูกนะ ต้องไปกินเอง
เมื่อเข้าที่พัก พวกเราก็นั่งกันที่ระเบียงกลางชื่นชมธรรมชาติยามใกล้ค่ำ ที่ชั้นสามของที่พักสามารถมองเป็นทิวทัศน์ขุนเขาได้ชัดเจนกว่า 




คิดว่าหลังอาบน้ำจะออกไปเที่ยวดูชีวิตผู้คนยามราตรี....แต่หลังจากอาบน้ำครบทุกคน เอนกายเองพักกระดูกสันหลัง มือถือโทรศัพท์ เปิดดูรูปกันพักนึง ก็ไม่มีผู้ใดประสงค์จะขยับร่างออกนอกห้อง สรุปว่าพวกเรา นอนกันตอนเกือบสี่ทุ่ม ด้วยความอ่อนเพลีย....(คิดเอาเองในใจว่า พรุ่งนี้ตื่นเช้าจะมีเวลาออกไปเที่ยวอย่างน้อยถึงเที่ยงวันแล้วค่อยกลับ)
เช้าแล้ว...สองสาวหายไปไหนนะนี่?...ไม่ทันล้างหน้าแปรงฟันเราต้องออกไปดูก่อนอยู่ไหนกัน หนีเราออกไปเที่ยวรึเปล่า?...อ้อ..กำลังเพลิดเพลินจำเริญใจกับการถ่ายรูปยามเช้า.....ทะเลหมอกยามเช้าหนายิ่งกว่า ขาวยิ่งกว่า ให้ความรู้สึก กรุ่น ๆ มวล ๆ นุ่ม ๆ เหมือนอยู่ในฝันเลยเทียว


เหมือน “ฟ้าฟาดลงมากลางใจ” เมื่อได้ยินเสียงมันสั่ง พี่...อาบน้ำ แล้วเก็บข้าวของได้แล้ว รถจะมารับหน้าที่พักแปดโมงครึ่ง ห๊า...ว่าไงนะ....? (โห! ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยจริง ๆ เดินทางมา 19 ชั่วโมง เพื่อมาเที่ยวแค่ 2 ชั่วโมง เนี่ยนะ...แล้วต้องเดินทางกลับอีก 19 ชั่วโมง!!!!!! พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง) บอกเลยว่า “เข็ดจนตาย” ไม่เอาอีกแล้วแบบนี้
 ต่อรองมันว่าช่วยอยู่ต่ออีกคืนเถอะนะ แต่มันบอก "ต้องรักษาคำพูด ให้สัญญากับที่ทำงานไว้ว่าจะกลับไปทำงานทันเวลา พี่ก็อยู่ต่อคนเดียวก็ได้นี่"
โฮ้ย....บอกเลยว่า เข็ดจนตายไม่เอาอีกแล้วแบบนี้ จำใจแบกเป้เดินตามมันไปกินกาแฟข้างล่าง แล้วนั่งรอรถมารับไปที่สถานีขนส่ง....รถคันนี้เป็นของท้องถิ่นวิ่งรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับ “อุดรฯ-หนองคาย-วังเวียง” ไม่ว่าผู้โดยสารจะพักที่ไหนก็วิ่งไปรับทุกที่ตามที่ได้แจ้งความประสงค์เอาไว้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วกลับ




ขากลับ ยังพบกับความทุลักทุเลไม่เลิก เมื่อรถมาถึงสถานีขนส่งอุดรประมาณบ่ายสามโมง พวกเราก็ต้องมานั่งรอคิวรถออกตอนสามทุ่มอีก (ชีวิตรันทดอีกแล้ว) เอาวะ..ไหน ๆ ต้องรอก็อย่าให้เสียเที่ยว นี่มันกลางวันยังดีกว่าขามา พวกเราก็ไปถามไถ่น้อง ๆ ในออฟฟิศเดินรถว่าควรจะไปเที่ยวไหน ยังไง .....เราใช้เวลาทั้งหมด ไปเดินช็อปปิ้ง ได้เสียเงินที่อุดรฯ บ้านเรานี่เอง ได้เสื้อยืดสีส้ม กับกางเกงเดปสีส้มอมแดง มาตัว “ถูกใจคัก ๆ แวะกินนั่นกินนี้พอให้เวลาหมด ๆ เมื่อกลับมาที่สำนักงานคิวรถทัวร์ มีผู้โดยสารมารอกันแทบไม่มีที่นั่ง หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน (กะว่าขึ้นรถแล้วจะหลับกันเลย) พวกเราก็ชาร์จแบตฯ เพราะเล่นถ่ายกันจนเกลี้ยง น้อง ๆ เอาน้ำหวานมาเสิร์ฟก่อนขึ้นรถ....


ฝนตกตลอดคืน...ปวดฉี่ก็ลุกออกมาลำบากเพราะได้ที่นั่งด้านในแถมนั่งสามอีกต่างหาก...เดินทางกลับถึงหมอชิตรุ่งเช้าประมาณเกือบเจ็ดโมงแหละ เรียกแท็กซี่ด้วยความลำบาก มันโขกราคาแบบเหมาเลย 500 บาท (ท่าจะบ้า)  รออยู่หลายคัน ในที่สุดก็ได้คันนึง แต่ ๆ... เวรกรรมไรของฉันเนี่ย? พอล้อหมุนออกมาไม่ทัน 100 เมตร จะเข้าด่านทางด่วน คนขับบอก “ยางแบนครับ ขอเปลี่ยนแป๊บ” เฮ้อ....พอจ่ายค่าผ่านทางเสร็จเขาก็เข้าจอดข้างทาง ทำพิธีเปลี่ยนยาง ระหว่างนั้นเราก็แว่บไปเข้าห้องน้ำของการทางพิเศษ ดี๊ ดี สะอ๊าด สะอาด เพราะยังเช้าตรู่ คนยังไม่เข้า แค่เข้าไปฉี่กลับออกมา คนขับเปลี่ยนยางเสร็จแล้ว....ป่าด! ไวดีแท้....
พอกลับถึงบ้าน ไอ้น้องมันส่งไลน์มาถาม “ถึงบ้านยัง เป็นห่วงนะ เข็ดมั๊ย?”  ตอบมันไปทันควันว่า แบบนี้ “เข็ด” (จริง ๆ นะจะบอกให้.....) น่าเจ็บใจกว่านั้น ด้วยขับข้องจิตว่าวิถีเดินทางมันไม่มีแบบอื่นให้เลือกเลยหรือไร (แต่ตอนนั้นไม่อยากพูดเยอะ) เคยเห็นแว้บ ๆ ว่ามี Low cost airline บินไปอุดรฯ ราคาไม่ถึงพัน เลยเข้าไปค้นใน นกแอร์ และ แอร์เอเชีย - Air Asia เจอจริง ๆ ด้วย บินไปอุดรแค่ 800+ นี่มันราคาเท่ากับ ค่ารถทัวร์บอกค่าแท็กซี่ 1 เที่ยวเลยนะ....เอาละพี่น้องเมื่อรู้อย่างนี้แล้วใครที่อยากจะไปเที่ยววังเวียง หรือ ที่ไหนในประเทศลาว ก็ชั่งน้ำหนักเอาละกันว่าจะนั่งรถทัวร์ทั้งคืน หรือจะขี่เรือบินไป น่าจะสักสองชั่วโมง เพราะบินไปตราดใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว (ยืนยันนะ...บินมาแล้ว) แนะนิด ถ้าอยากดื่มด่ำกับธรรมชาติ ต้องเลือกพักตามริมน้ำซองนะ อย่าพักแบบพวกเราล่ะ “มันไม่ถึงจุดสุดยอด” น่ะซิ....ลาละนะ

ภาพแถม...วิถีชีวิตชาวบ้านย่านนี้

อ้อ มีลิ้งค์มาฝากเผื่อใครอยากได้ข้อมูล:
นกแอร
Thanks for visit blog!

Beddinginn.com