Tuesday, June 2, 2015

ตกปลาที่ เทรลออฟเทียร์สสเตทปาร์ค

      ก่อนเล่าขานเรื่องราวการตกปลา ก็อยากเกริ่นแนะนำสถานที่ก่อนพอเป็นพิธี ได้ข้อมูลจากวิกิฯน่ะเอง เอาแบบสั้น ๆ ละกัน (อ้อ..ขณะที่กำลังเล่าอยู่นี่ คนเล่านั่งๆ นอน ๆ อยู่ที่อเมริกาจ้ะ...)



  "Trail of Tears State Park มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ในปี คศ. 1836 และ 1839 ชนชาวพื้นเมือง     เชอโรกี (Cherokee Nation) ที่อาศัยอยู่ในดินแดน “ของตัวเอง” ในรัฐ จอร์เจีย, เซาท์แคโรไลนา, นอร์ทแคโรไลนา, เทนเนสซี, เท็กซัส และ อลาบามา ได้ถูกทางการบังคับให้ย้ายถิ่นไปอยู่รวมกันทั้งหมดที่ Indian Territory (ปัจจุบันคือ โอกลาโฮมา) ฝั่งตะวันตกของอเมริกา.... ในระหว่างทางที่ย้ายทำให้ชนชาวพื้นเมืองเชอโรกี เสียชีวิต 9 คน พร้อม ๆ กัน และบทสุดท้ายของการย้ายถิ่นมีประชากรย้ายไปประมาณ 4,000 คน

  ต่อมาในปี ในปี 1970 ทางการได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งโบราณคดี ของประวัติศาสตร์แห่งชาติ เพื่อรำลึกถึงหรือไว้อาลัยต่อ (ความขมขื่น) ของ “ชนชาวพื้นเมืองเชอโรกีอเมริกัน” ที่เสียชีวิตบน “เส้นทางรอยน้ำตา” แห่งนี้
Trail of Tears State Park  มีพื้นที่ทั้งสิ้น 3,415 เอเคอร์ เป็นสวนสาธารณะของรัฐมิสซูรี่ (บริหารจัดการโดย Missouri Department of Natural Resourcesสวนสาธารณะนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำมิสซิสซิปปีในเขต Cape Girardeauที่จอดรถได้จัดให้มีศูนย์แสดงข้อมูลเกี่ยวกับ Trail of Tears และตัวอย่างของสัตว์ป่าท้องถิ่นไว้ด้วยสรุปกิจกรรมที่สามารถทำได้ในสวนสาธารณะแห่งนี้ ได้แก่ การตั้งแคมป์, ตกปลา, ปิกนิก, ว่ายน้ำและการเดินป่า, มีเส้นทางสำหรับทั้งพวกแบ็คแพ็คและผู้ใช้ม้าด้วย สวนสาธารณะแห่งนี้มีสี่เส้นทางที่จัดไว้สำหรับกิจกรรมดังกล่าวมาแล้ว ได้แก่
  1.  Peewah Trail ระยะทาง 9 miles (14 km)
  2. Sheppard Point Trail ระยะทาง 3 miles (4.8 km)
  3. Lake Trail ระยะทาง 2.25 miles (3.62 km)
  4. Nature Trail ระยะทาง 0.6 miles (0.97 km)"



           หันมาเข้าเรื่องกันเลย....เส้นทางเข้าไปที่ Trail of Tears State Park เป็นทางลาดยางเล็ก ๆ แค่รถสวนกันได้ Google Map บอกว่าระยะทางจากบ้านเรามาถึงที่นี่เพียง 11.2 miles ใช้เวลา 26 นาที... สองข้างทางเป็นป่าไม้ต้นสูงชะลูด ออกใบเขียวชอุ่มกันเต็มป่าแล้ว ส่วนดอกไม้ที่เคยเห็นตอนต้นฤดูสปริง ตอนที่มาครั้งแรกต้นเมษายน ได้ร่วงโรยไปหมด แต่มีไม้พุ่มอย่างอื่นกำลังออกดอกสีขาวตามแนวระหว่างทาง และในเขตสวนสาธารณะ ส่วนต้นไม้ที่ไม่มีดอกสวย ๆ ที่ปลูกในบริเวณ Park ส่วนมากเป็น Maple, Oak มี Gum Tree บ้าง ส่วนต้นอื่นไม่รู้ชื่อ...



      ขณะขับรถอยู่บนสันเขา จะมองเห็นไหล่ทางเป็นเหวลึ้กลึก ดูน่ากลัว... แต่มันไม่เหมือนเหวแบบหน้าผาหินอะไรทำนองนั้น ทั้งป่า...เป็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยดิน แนวสันเขาดูเหมือนจะขนานไปกับแม่น้ำ Mississippi ในบางช่วงจะมี “จุดชมวิว” แม่น้ำไว้ให้ สองสามจุด The very impressive view of the Mississippi River  เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุด ที่คีธพาไปเมื่อต้นเดือนเมษายน เป็นปลายฤดูหนาวและยังหนาวอยู่ไม่น้อย ตรงนั้นสามารถมองเห็นอิลลินอยส์ ที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ  คิดว่าไว้รอ “ฤดูใบไม้ร่วง” ช่วงพฤศจิกายนจะไปอีกครั้ง ตอนนั้นจะได้เห็นสีส้มๆ แดงๆ เหลืองๆ ไปทั้งป่า คงงดงาม กว่าฤดูอื่น ๆ เป็นร้อยเท่า



        
       เราขับรถมาถึงประมาณบ่ายโมงเศษ ๆ ท้องฟ้า อากาศ ยามนี้ปลอดโปร่ง จะเรียกว่า “ซันนี่เดย์” ยังได้ เมื่อสาดสายตามองไปรอบ ๆ ดูรถราที่จอดอยู่ และผู้คนยังบางตา ทำให้คีธสามารถเลือกทำเลที่ตั้งอาหารว่างของเราได้ไม่ยาก ส่วนเรานั้นยังไม่ตามไป ยังวนเวียนอยู่บริเวณที่จอดรถเพราะตรงนั้นมีแนวไม้พุ่มออกดอกสวยสะพรั่ง ตระการตา น่าถ่ายรูปยิ่งนัก ไม่พลาดอยู่แล้ว  เมื่อเก็บภาพ ดอกไม้ พุ่มไม้ ต้นไม้ และใบไม้สารพัดรูปร่าง จนเป็นที่พอใจ ก็ชะเง้อคอมองหาสามี  เธออยู่ไหน???...โอ้ว..เขากำลังเพลิดเพลินกับการตกปลาริมตลิ่งโน่น... ห่างจากผู้คน เขาทิ้งเบ็ดไว้ให้เราที่โต๊ะวางอาหาร ดูช่างไม่กลัวใครมือกาวสาวเอาไปเลยเนอะ...

        เราทิ้งสิ่งของไว้ที่โต๊ะนั่น แล้วผละไปหาที่ถ่ายรูปมุมอื่น ๆ เสร็จแล้วก็เกิดอยากจะ Selfies (ครั้นจะใช้สามีถ่ายให้ก็กลัวจะได้ภาพเบลอ ๆ เช่นที่ผ่านมา) เอาละ(วะ) วันนี้เตรียมรีโมทกล้องนิคอนมาด้วย ลองดูสักตั้ง หาที่เหมาะ ๆ วางกล้อง (เพราะไม่มี Tripod ไม่ได้แบกมาจากเมืองไทย)  พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น “เตาบาร์บีคิว” ที่ทางการจัดไว้ให้ทุกโต๊ะ (ดีขนาดไหนล่ะ) เหมาะเจาะดีแท้ เมื่อเล็งหาโลเกชั่นให้ตัวเอง ก็เห็นม้านั่งริมทะเลสาบ โอ้ว..เพอร์เฟ็ค...ไปนั่งทำหน้าแป้นแว้น แล้วกดรีโมท...ว้า! มันออกจะไกลเกินรีโมทไปไม่ถึง  เลยต้องขยับมาครึ่งทาง นั่งที่โต๊ะอาหารแถวนั้นแหละ

โห...กว่าจะได้ภาพดี ๆ สักภาพ (ที่หัวไม่หาย) ต้องเดินไปเดินมาเพื่อเช็คภาพ เล่นเอาดอกไม้ใบหญ้าที่ขึ้นบริเวณ “เตาบาร์บีคิว” ราบพนาสูญไปเลย... น่าสงสารมันจัง (ดีนะที่เราเก็บภาพมันไว้ก่อน) ระหว่างถ่ายทำ...ได้ยินเสียงสามีตะโกน   I got itเมื่อหันไปก็เห็นคีธถือคันเบ็ดที่มีปลาห้อยต่องแต่ง ดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ เราก็รีบวิ่งไปดู และถ่ายรูปไว้เดี๋ยวโพสต์ในเฟสบุค ตัวไม่ใหญ่แต่ในรูป “ใหญ่มว๊าก”....
       พูดถึงการตกปลาในที่สาธารณะคีธบอกจะต้องมีใบอนุญาต โดยต้องยื่นคำขอเช่นเดียวกับการขอทำใบอนุญาตขับขี่รถ ทางการจะออกใบอนุญาต แบบที่เป็น “บัตร” พิมพ์ด้วยกระดาษ (เหมือนบัตรรับรองสิทธิประกันสังคมเมืองไทยเลย) เวลาไปตกปลาไม่ว่าที่ใด ๆ  พลเมืองต้องพกพาไปแสดงเมื่อเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ... ตอนแรกคีธบอกว่าเราตกไม่ได้หรอกผิดกฎหมาย เราแย้งว่า “เวลายูตกปลาครั้งก่อนที่ Cape Girardeau County Parks (South)  ไม่เห็นมีใครมาขอตรวจ รวมทั้งคนอื่น ๆที่ตก ๆ กันก็ไม่เห็นใครมาตรวจสักคน...นั่นแหละ เราถึงได้มีเบ็ดตกปลา “เป็นของตัวเอง” (ไม่ได้ซื้อหรอก แค่ไปเอามาจากบ้านพ่อแม่คีธพร้อมที่ใส่ปลา" ที่นี่เราสามารถตกปลา ในพื้นที่ 20 เอเคอร์ (81,000 ตรม.) ในทะเลสาบ Boutin และในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้  ทะเลสาบที่นี่ดูแล้วน่าจะกว้างและลึกกว่าที่ Cape Girardeau County Parks (South)  น้ำก็ใสกว่า แต่ริม ๆ ฝั่งจะมีตะใคร่น้ำผสมกับพืชน้ำพวกสาหร่ายขึ้นหนาเชียว ทุกครั้งที่คีธลากเบ็ดขึ้นมาก็จะติดสาหร่ายมาด้วย 

คีธตกได้ปลา “บลูกิล” (Bluegill) มาสองตัว กะจะกินคนละตัว แต่คิดแล้วก็ให้สงสารมัน น่าจะปล่อยเจ้าตัวเล็กไป ไว้รอมันโตกว่านี้ค่อยไปเอาคืน (ฮะ ๆ) งานนี้ คีธได้แสดงบทเป็นทั้ง “ผู้ล่า และ ผู้ฆ่า” เราตั้งใจจะทำปลาส้ม และจะให้ชื่อว่า “ปลาส้มพลัดถิ่น” (ไม่รู้เกิดเหี้ยนไรขึ้นมา ตอนอยู่เมืองไทยไม่เคยสนใจปลาร้า ปลาส้ม แต่พอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เกิดพิศวาส อาหารพื้นถิ่น เหอ ๆ ยายแพทเอ๊ย เธอคิดว่าสามีจะกินปลาส้มเธอลงหรอ....)

       ประมาณบ่ายสามโมงผู้คนก็เริ่มทยอยพาครอบครัวมา Picnic กันมากขึ้น นี่อาจเพราะวันนี้เป็นวัน "แม่" ของอเมริกันชน หรือ Mother’s Day พวกเค้าก็มาใช้เวลาด้วยกัน ทางการก็เตรียมอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ เตาย่าง BBQ ไว้ให้ทุกโต๊ะเลย มีเครื่องเล่นของเด็ก ๆ สองสามอย่างที่สนาม อีกด้านทิศเหนือของทะเลสาบ ก็ทำพื้นที่ไว้ให้ลงไปเล่นน้ำ โดยกั้นทุ่นไว้รอบ ๆ กันออกนอกพื้นที่น้ำตื้น บางครอบครัวก็เลือกที่จะเล่นวอลเล่ย์บอลบนหาดทราย พ่อบางคนก็เอา “รัคบี้” มาโยนให้ลูกชายตัวน้อยฝึกตี สงสัยกำลังจะลงแข่งกีฬา งานนี้มีเฮ ได้เหรียญแน่...




       ก่อนจะกลับออกมา เห็นมีสองสามคนเอาเรือลงไปพายเล่นในทะเลสาบอีกฝั่ง กล้อง Nikon ของเราก็เทคจนหมดแบตฯ คาที่ กล้องมือถือแม้จะถ่ายชัดแจ่มแจ๋ว แต่ก็ถ่ายภาพไกล ๆ ขนาดอีกฝั่งไม่ได้ดีแน่ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา  คีธเลิกตกปลาเพราะเมฆฝนตั้งเค้ามา เราก็กินของว่างที่เตรียมไปก่อนจะกลับออกมาตอนบ่ายสามกว่า ๆ 

            ทุกครั้งที่นั่งรถออกจากบ้าน เราจะชอบมองวิวทิวทัศน์ตลอดทาง เพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจากฤดูหนาวบ้าง สิ่งหนึ่งที่ได้เห็น และชื่นชม คือ การที่ผู้คนทำให้พื้นดินกลายเป็นสีเขียว และหมั่นรักษามันให้ดูดี สะอาด สะอ้าน อยู่ตลอดเวลา ....ทุกพื้นที่ว่างเปล่าของเมือง ไม่ว่าจะเป็นริมถนนหนทาง สนามรอบอาคารบ้านเรือน /ร้านรวง/บริษัท แม้แต่พื้นที่ติดแนวป่า พวกเขาไม่ปล่อยพื้นดินว่าง ๆ รก ๆ พวกเขาจะปลูกหญ้าคลุมไว้เหมือนปูพรมสีเขียว และทุก ๆ สองอาทิตย์ จะได้ยินเสียงรถตัดหญ้าทำงานกันกระหึ่มทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น เกือบทุกบ้านต้องมีรถตัดหญ้า เช่นเดียวกับที่ต้องมีเครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า และรถยนต์นั่งนั่นแหละ (อดแอบคิดเล่น ๆ ไม่ได้ ว่า ถ้าบังเอิญมีใครเจ็บป่วยถึงขั้นโคม่า จน กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่รู้หลับใหลนานกี่ปีดีดัก หากอยู่มาวันหนึ่งมีเจ้าชายมาจูจู๊บปลุกให้ตื่น แล้วพอเธอได้ยินเสียงบางอย่างดังกระหึ่ม แน่นอน...เธอจะรู้ในทันทีว่า นี่คือ “ฤดูใบไม้ผลิ” เพราะมันคือ “เสียงรถตัดหญ้า” นั่นเอง...)


วันพิเศษอย่างนี้....ก่อนกลับเราสองคนก็แวะไปหา Mom ที่บ้านเพื่อเอา  Mother’s Day Card ไปให้เธอ เราเตรียมของเราใบนึง ของคีธใบนึง โดยใช้การ์ดเปล่าที่มีอยู่มากมายในลิ้นชัก จัดแจงพิมพ์ข้อความ “จากใจ” สำหรับเธอเป็นพิเศษ พร้อมใส่ภาพที่เรากำลังกอดเธอเมื่อครั้งที่เจอกันครั้งแรกที่เดินทางมาถึงอเมริกา...แม้เราเป็นเพียงสะใภ้แต่ตลอดเวลาห้าเดือน เธอปฏิบัติต่อเราเหมือนลูกสาวคนนึง เราจึงรักและเคารพเธอเหมือน “แม่ของตัวเอง”.... Happy Mother’s Day! I love you, mom. คำนี้ที่เราเขียนในการ์ด   คืนนั้นโพสต์ภาพขึ้นเฟสบุคยี่สิบกว่าภาพ ปิดท้ายด้วยภาพตัวเองกอดมัม (ถ้าไม่ลืมถ่ายการ์ดไว้นะจะเจ๋งกว่าอีก) สองวันต่อมา น้าเวอร์จิเนียร์ โพสต์ในเฟสบุคที่ภาพนั้นว่า “ฉันชอบภาพนี้มาก และบาบาร่าแสนจะภูมิใจกับการ์ดที่ได้รับจากลูกสะใภ้ของเธอ(บาบาร่าคือแม่สามีเราเองจ้ะ)…..และแล้วสองวันต่อมา แม่สามีที่แสนประเสริฐ ก็ไปช้อปที่ JCpenny หอบเครื่องดูดฝุ่น "สุดล้ำ" มาให้ลูกสะใภ้จนถึงบ้าน....นี่ไง....จะไม่ให้รัก...ทนได้ไง..
Thanks Mom, I love you more.



0 ความคิดเห็น :

Post a Comment