Tuesday, July 7, 2015


เมื่อกลับออกจาก Ste. Genevieve Catholic Church ประมาณ 12.40 น. เป้าหมายถัดไปคือ French Colonial Houses แมรี่กางแผนที่และเรียกคีธให้ช่วยกันดู ช่วงนี้แดดร้อนจนต้องหลบพิงกำแพงอาคารที่อยู่ติดกับ Church (แต่สองคนพี่น้องยังคงกางแผนที่ดูกันกลางแดด) เราดึงแขนมัมให้เข้ามาคอยในร่ม แล้วตัวเองก็ฆ่าเวลาโดยการลัดเลาะไปตามซอกอาคารเพื่อพินิจผนังอาคารที่ดูแปลกตา คล้ายเอาหินก้อนวางแล้วโบกเชื่อมระหว่างร่องรอยต่อแต่ละก้อนด้วยปูนซีเมนต์ โดยไม่ต้องทาสี เดาเอาว่า นี่อาจเป็นอาคารที่สร้างด้วย Rock แบบเดียวกับ Church ก่อนที่จะสร้างเป็นผนัง Brick ครอบแล้วรื้อ Rock ทิ้งไป.....

เมื่อรู้ทิศทางที่จะไปแล้ว แมรี่ก็พาพวกเราเดินเรียบไปตามถนน Market St ไปทางตะวันออกผ่านร้านรวงประมาณสิบกว่าร้านก็ถึงแยกตัดกับ Second St เลี้ยวขวาไปทางเหนือเดินต่อไปยังถนน Merchant St. โดยที่ไม่รู้ว่าบ้านโบราณที่กำลังจะไปนั้น จริง ๆ ตั้งอยู่ตรงไหนแน่ ไกลหรือใกล้ 
เราเดินไปถ่ายรูปหน้าร้านที่มีดอกไม้ปลูกประดับประดาไว้อย่างสวยงามเกือบทุกร้านและอาคาร



            ภายในร้านขายสินค้าประเภท Art galleries เกือบ 10 ร้านจะตกแต่งด้วยผ้าม่านลูกไม้ ดูเป็นเอกลักษณ์ นอกร้านปลูกดอกไม้สวย ๆ แถมมีม้านั่งน่ารัก ๆ จัดไว้สำหรับคนที่ต้องการนั่งพัก....ถนนหนทางแลดูสะอาดสะอ้านไม่มีรถราขวักไขว่ หรือควันขาวควันดำ ริมถนนปลูกต้นไม่ใหญ่ที่ให้ร่มเงาตลอดทาง ส่วนอาคาร มีทั้งแบบที่เป็นอาคารแถวแบบสองชั้นแบบเก่า (เหมือนเมืองไทย) และมีอาคารเดี่ยว ๆ ที่เป็นสำนักงานของทั้งภาครัฐและเอกชน สร้างด้วยอิฐแดง ดูโดดเด่นสดใส ที่ไม่เคยเก่าไปกับกาลเวลา นี่แหละเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมยุโรปยุคเก่าแก่.....





เราเดินรั้งท้ายสุดเพราะมัวแต่ชื่นชมเมืองและถ่ายรูป แล้วสังเกตเห็นมัมเดินทิ้งช่วงคนอื่น ๆ ที่เดินไม่เหลียวหลัง มัมเดินช้าลงเพราะเริ่มเหนื่อยอ่อน เราเข้าไปประคองเธอ และบอกให้หยุดพักก่อนค่อยเดินต่อ แล้วก็ตะโกนเรียกคีธบอกว่าให้กลับไปเอารถมาจอดแถว ๆ นี้ เพราะมัมเดินกลับไม่ไหวแน่ (สามีตอนแรกอ้าปากจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินเหตุผลก็ร้อง อ้อ!)


          เดินต่อมาอีกหน่อยก็ถึงจุดตัดถนน Merchant St. เป็นสี่แยก แมรี่กางแผนที่ดูอีก แล้วก็พาเลี้ยวซ้ายไปทางตะวันตก เดินมาอีกประมาณสามสิบเมตรมองซ้ายมองขวาหาที่หมาย ก็มีหญิงสาวสวนทางมา เธอหยุดและทักทายและพูดว่าถ้าพวกเรากำลังจะไปที่บ้านโบราณละก็ เดินอีกนิดก็จะถึงแล้วอยู่ซ้ายมือนั่นแหละ เข้าประตูไปแล้วจะมีไกด์คอยต้อนรับที่นั่น.....(Thank  you... คิดเอาว่าเธอคงเป็น Staff ของบ้านโบราณ!!!)

บ้านเก่า ในรั้วใหม่

          เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูที่ติดป้ายว่า  Shaw House Welcome รั้วที่ก่อด้วยอิฐแดง ภายในมีบ้านชั้นเดียว สามหลัง สองหลังแรกหันหน้าเข้าหากัน (ซ้าย-ขวา) บ้านด้านซ้ายมือไม่ได้เปิดให้ชม บ้านหลังด้านขวามือ คือที่ ๆ พวกเราจะเดินเข้าไปชม  ส่วนตรงกลางเป็นลานกว้าง หลังที่สามหันด้านข้างให้เรา (หรืออาจเป็นด้านหลัง?) มองผ่าน ๆ เหมือนเป็นแค่เพียงกำแพง......สังเกตเห็นมีบางอย่างยึดตรึงห้อยอยู่คล้ายๆ เอาไว้ล่ามอะไรสักอย่าง ความคิดแว่บขึ้นมา...หรือว่าเป็นเครื่องยึดข้อมือสองข้างของนักโทษให้ติดกับกำแพง รอลงอาญา?....จินตนาการไปได้ขนาดนั้นเลย แล้วก็ไม่ได้คิดเฉย ๆ ยังให้สามีถือกล้องไว้ แล้วตัวเองก็สอดมือทั้งสองเข้าไปทำท่าขึงพืดติดกำแพงแล้วบอกให้สามีกดชัทเตอร์ มิวายไกด์จะพยายามบอกว่า “โอโน...ตรงนั้นมันคือที่สำหรับจอดม้าในอดีตกาลตะหากล่ะจ๊ะ” ทำให้มัมลืมเหนื่อย หัวเราะชอบใจที่เห็นลูกสะใภ้ทำบ้า ๆ บอ ๆ.....

          
          ภายในบ้าน...ด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ สะอาดน่าใช้บริการ ด้านขวาเป็นห้องใหญ่ทำเป็นสำนักงาน ส่วนที่เหลือตรงหน้าเป็นห้องจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นของบ้านโบราณหลังนี้ และยังมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากเฮิร์บ เช่น สบู่หอม เทียนหอม ที่ส่งกลิ่นหอมแปลก ยังมีเครื่องใช้เซรามิก  รูปภาพพร้อมกรอบ หนังสือ สินค้าหัตถกรรม จักสาน และอื่น ๆ อีกมาก สำหรับซื้อติดไม้ติดมือ หรือเป็นของที่ระลึก



 ความพิเศษของบ้านหลังนี้ คือ สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง พื้นไม้เดิม ๆ อายุ 200 ปี ยังไม่มีทีท่าว่าจะผุพัง  ถัดจากห้องนี้มีประตูเปิดเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งด้านขวา ในนั้นไม่มีอะไรมาก นอกจากภาพท่านผู้เคยครอบครองบ้านหลังนี้มาก่อน....แล้วก็มีตู้ไม้ใบเก่า เรามือไวลองลูบคลำ....ไกด์ร้องเสียงหลงว่า “อย่าแตะ!”....หดมือแทบไม่ทัน...

รูปถ่ายท่านผู้เป็นเจ้าของ ติดไว้เหนือเตาผิงที่ผลิตจากเหล็ก หล่อลวดลายวิจิตร 

พื้นไม้-ชั้นบน
พื้นไม้กระดานดั้งเดิมที่ยังไม่ผุพัง-ชั้นล่าง

ภายในห้องนี้ดูทรุดโทรมมากแล้ว แม้ว่าภายในนั้นมีพัดลมเปิดให้ความเย็นแต่เนื่องจาก ห้องเล็ก คนเยอะ อากาศตอนบ่ายก็แสนจะร้อน มัม และหนุ่มคีธ ถึงกับเหงื่อแตก “พลั่ก” ยังดีที่มัมถือพัดญี่ปุ่นติดมือมาด้วย พัดอันเป็นของฝากจากสะใภ้คนนี้ ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่วันนี้เอง แถมคนซื้อให้เป็นคนบริการพัดโบก ซับเหงื่อให้ทั้งแม่สามีและสามีตัวเอง (เมียดีขนาดนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะที่รัก).....ก่อนออกมานึกได้ว่าควรถ่ายภาพไกด์สาวรุ่นใหญ่กับคุณสามีไว้เป็นที่ระลึก...กดไปหนึ่งแชะ

ไกด์สาวประจำที่นี่

เดินตามไกด์ออกไปบ้านอีกสองหลังที่อยู่ตรงข้างถนน เธอพาพวกเราเดินผ่านเข้าประตูที่เขียนว่า Exit ภายในรั้วบ้านนี้ มีบ้านสองหลัง ไกด์พาเข้าชมบ้านหลังเล็กสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ ผนังบ้านนี้สร้างด้วยอิฐแดง พื้นเป็นไม้.... ที่จริงไม่น่าเรียกว่าบ้าน เพราะมันเล็กเกินไป ภายในมีแค่ห้องเดียว ที่มีเตาผิง หน้าต่างหนึ่งบาน มีบันไดเล็กขึ้นข้างบนได้ ที่นี่เคยเป็นที่สำหรับทำงานทอผ้า และเก็บสมุนไพร ที่ทำเป็นการค้าในอดีต....ไกด์บรรยายความเป็นมา และพาออกมาดูสวนน้อย ๆ ในปัจจุบัน เพื่อจำลองภาพ ในอดีตที่เคยเป็นทุ่งเกษตร.....

ซ้าย Felix Vallé House State Historic Site ขวา ห้องทอผ้าและเก็บ Herb 

ภายห้องทอผ้าและเก็บ Herbs

Herbs ที่ปลูกไว้ในสวนหลังบ้าน ตากแห้งแล้วนำมาเก็บ

ซ้าย เครื่องทอผ้า ขวา ไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นอะไร แต่อยากถ่ายรูปไว้ดู

สวนหลังบ้าน ที่เคยเป็น ทุ่งเกษตร 
ไกด์พาพวกเราเดินผ่านสวนอ้อมไปที่ประตูทางเข้าด้านหน้าของ บ้านหลังที่เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์คือหลังใหญ่ที่มีชื่อว่า Felix Vallé House State Historic Site สร้างขึ้นในปี 1818 ลักษณะโครงสร้างผนังเป็นหินปูน (limestone) พื้นไม้ เดิมเคยเป็นบ้านของ Felix and Oldile Pratte หนึ่งในครอบครัวสมาชิก Ste. Genevieve 

Felix Vallé House State Historic Site ถ่ายจากด้านข้าง
ชั้นล่างของที่นี่เมื่อเข้าไป ห้องแรกเป็นห้องที่เคยทำการค้า แต่ปัจจุบันใช้เป็นห้องจัดแสดงสินค้าที่เคยขายในอดีต ได้แก่ ภาชนะที่ผลิตจากเหล็ก รองเท้าหนัง หนังขนสัตว์ (บีเวอร์) ผ้าฝ้ายทอมือ ผ้าห่ม ชาแผ่นอัดลายสำหรับชงดื่ม น้ำตาลทรงแปลกๆ เครื่องมือ ภาชนะเครื่องใช้อื่น ๆ.......

ผ้าที่ทอด้วยเครื่องทอทีอยู่ในห้องหลังบ้าน

หนังบีเวอร์ ที่เป็นสินค้าในยุคนั้น และเป็นอาชีพหลักของพลเมือง นอกจากการเกษตร

สินค้าประเภทเครื่องครัวที่ผลิตจากเหล็กกล้า
 จากห้องนี้มีประตูเปิดไปยังอีกห้อง ๆ นี้จัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ต้นจักรวรรดิที่สวยงามซึ่งได้รับการบูรณะโดยครอบครัว Wilhauk อันได้แก่ ชุดเครื่องดื่มเซรามิก โซฟา ตู้ ชั้น เก้าอี้ และมีภาพถ่ายของเจ้าของบ้านคนแรกติดเหนือเตาผิง

ชุดเซรามิกสำหรับเครื่องดื่ม



จากห้องนี้ยังมีประตูเปิดไปยังห้องที่อยู่ด้านหลังบ้าน ในห้องนี้มี ตู้ยุคเก่าโชว์เครื่องเซรามิก และโต๊ะพร้อมเครื่องถ้วยชามชุดรับประทานอาหาร  4 ที่ โดยไม่มีใครทันสังเกต ว่าการจัดวางชุดช้อน-ส้อม บนโต๊ะนั้นไม่เหมือนกันสองที่ ไกด์บอกว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็น ความแตกต่างระหว่าง ธรรมเนียมฝรั่งเศส จะวางชุดช้อน-ส้อม แบบคว่ำ ส่วน อเมริกา วางแบบหงาย….

ห้องรับประทานอาหารที่อยูติดระเบียงด้านหลังบ้าน


จากห้องด้านหลังนี้มีประตูเปิดออกไปสู่ระเบียงด้านหลังสุดของบ้าน (ที่พวกเราเข้ามาตอนแรก ก่อนเดินอ้อมไปข้างหน้า) ซึ่งเคยเป็นระเบียงชมทุ่งเกษตรที่ปลูกเฮิร์บและดอกไม้นานาพรรณ มีบันไดสามสี่ขั้นเดินลงไปชมสวนได้.....

ระเบียงด้านหลังของ Felix Vallé House State Historic Site ที่สำหรับนั่งชมทุ่งเกษตรสมัยนั้น
Herbs ที่ปลูกไว้ในปัจจุบัน มีเพียงเล็กน้อย เพื่อเป็นการศึกษา
           ด้านขวาของระเบียงมีประตูเปิดขึ้นบันไดแคบ ๆ ไปที่ชั้นสอง (ขั้นบันไดก็แคบมาก) ซึ่งเคยเป็นห้องนอน มี 2 ห้องนอน เปิดเชื่อมถึงกัน ภายในห้องนอนประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ยุคโบราณ เช่น เตาผิง เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ชั้นเก็บของ เก้าอี้ กระโถน และอ่างล้างหน้าผลิตจากพอร์ซเลนที่มีลวดลายสวยงามวางในรถเข็นที่สามารถเข็นไปเปลี่ยนน้ำใหม่ได้

บันไดขึ้นชั้นบน -ขั้นบันไดสั้นกว่าเท้า

ห้องนอนปีกซ้าย ..... ที่ตั้งบนตู้ปลายเตียงคือ "ลูกคิด" สำหรับการคำนวณ

ห้องนอนปีกขวา

โต๊ะเครื่องแป้ง

กระโถนสำหรับถ่ายในห้องนอน

รถเข็นที่ทำด้วยไม้ทั้งคัน ใช้เข็นน้ำใส่ชามเซรามิกสำหรับล้างหน้าในห้องนอน
ไกด์ยังถามเราว่า “ตอนยูเป็นสาว ๆ บ้านยูเอาน้ำมาใช้ด้วยวิธีไหนเหรอ” มัมได้ยิน รีบชิงตอบแทนเลยว่า “ชีเคยหาบน้ำโดยใช้ถังสองใบแล้วมีคานวางบนบ่านะ” (นี่ไง สงสัยว่ามัมคงได้ฟังเรื่องราวทุกสิ่งอย่างที่เราเคยเล่าให้คุณสามีฟังหมดแล้วเป็นแน่) ไกด์ทำตาโต “โอ้!ยูน่ะเหรอ....แล้วไปเอาน้ำที่ไหน ไกลมั๊ย” ปฏิเสธไม่ได้ซิเพราะจริง เลยต้องวางกล้องแล้วเล่าขยายความว่า “โอ..ตอนไอเป็นเด็กแค่ 6-7 ขวบไอเห็นสาว ๆหาบน้ำจากสระที่วัด ไอก็อยากทำอย่างนั้นมั่ง พ่อไอเลยซื้อกระแป๋งน้ำคู่เล็กสุด พร้อมทำไม้คานพิเศษให้ไอ เหมือนเล่นขายของเลย ไอหาบน้ำไกลประมาณห้าสิบเมตร เอามาใส่ตุ่มใบหญ่ายจนเต็ม มีหลายใบด้วย..(คุยโอ่พร้อมทำท่าประกอบ) พอเริ่มโต พ่อไอก็ซื้อกะแป๋งเบอร์ใหญ่ขึ้น ๆ จนกระทั่งใหญ่สุด” (สมใจนึกบางลำพูเลย)
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้นอกจากจะเปิดให้เข้าชมโดยต้องซื้อบัตรแล้ว ยังเปิดให้ประชาชนเช่าเป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน หรือปาร์ตี้ต่าง ๆ ในบริเวณสวนหลังบ้าน และสามารถพักค้างคืนที่ชั้นสองในห้องที่มีบรรยากาศย้อนยุคไปร้อยกว่าปี ได้อีกด้วย (ตัวอย่างภาพล่าง)


Felix Vallé House State Historic Site เป็น French Colonial Houses หนึ่งในสามหลังบ้านโบราณใน Ste. Genevieve และเป็นสามในห้าหลังของสหรัฐอเมริกาที่ยังเหลืออยู่......บ้านอีกสองหลัง ที่เราไม่ได้ไปชม คือ
1. The Beauvais-Amoureux House  ตั้งอยู่ที่ 327 ถนนเซนต์แมรี ถูกสร้างขึ้นในปี 1792 เพื่อดูทุ่งเกษตร Le Grand Champ ผนังของบ้านหลังนี้สร้างโดยใช้ไม้ซุงซีดาร์ปักลงไปตรง ๆ ในพื้นดินโดยไม่มีฐานราก หลังคามีปล่องไฟกลางหลังคาปั้นหยา หลังนี้ จะเปิดให้ประชาชนชมเป็นครั้งคราว (เปิดจำหน่ายบัตรให้เข้าชมทุกวัน ช่วง  June-August เปิดเฉพาะวันหยุด ช่วง April, May, Sept and Oct.)
2. Jacques Guibourd House ตั้งอยู่ที่  One North Fourth Street สร้างในปี 1806 เปิดจำหน่ายบัตรให้เข้าชมทุกวันเฉพาะช่วง Mar-Nov

สำหรับ Felix Vallé House State Historic Site ตั้งอยู่ที่ Merchant & 
Second Street  เปิดจำหน่ายบัตรให้เข้าชมทุกวันช่วง Mar-Oct, เปิดเฉพาะ พฤหัสบดี อาทิตย์ ช่วง Nov-Feb

วันนี้เราไม่สามารถเดินชมได้ทั้งหมดเพราะมัมค่อนข้างเหนื่อย และอากาศก็ร้อนมาก...คีธไปเอารถมาจอดรอตอนไหนไม่ทันสังเกต เมื่อกลับออกมาราชรถก็มาเกยถึงที่ แม่รี่บอกว่ามีร้านไอศกรีมอยู่บนถนน  Merchant St ให้ไปเจอกันที่นั่น.....Sara’s Ice Cream Shop น่าจะเป็นร้านนี้ เราจอดรถที่ฝั่งตรงข้าม แล้วเดินข้ามถนนเข้าไปในร้าน ข้างในมีโต๊ะนั่งมากมาย แต่อยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีเพียงสามโต๊ะ ๆ ละสองที่นั่ง ก็พอดีเรา 6 คน ทุกคนสั่งสิ่งที่ตัวเองอยากกิน เราไม่รู้จะกินอะไรเพราะไม่ค่อยได้กินไอศครีมไม่รู้อะไรอร่อย คีธจึงสั่งให้ได้ยินแว่ว ๆ ว่า “Chocolate Milk Shakeเรานั่งดูคนขายทำไอศกรีม เริ่มด้วยการตักไอศครีมจากกล่องสี่เหลี่ยมที่มีอยู่นับสิบ ใส่ลงในเครื่องปั่นหรืออะไรสักอย่าง แล้วเติมนมลงไปแล้วก็เปิดสวิชท์เครื่องผสมกัน เทใส่ถ้วยโฟมขนาดใหญ่โตมโหฬาร เราคิดในใจว่า “ใครจะกินหมด (วะ) เนี่ย?”......กินคำแรกปวดจี๊ดที่ขมับเลย...คำที่สอง..สาม..หายปวด.เริ่มชิน...โห...อะไรจะอร่อยขนาดนี้ กินไปได้ไม่ถึงครึ่งเราบอกว่าจะเอาไปกินบนรถขากลับ...คีธขับรถตามแมรี่มาจอดที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เพื่อเอาของฝากพ่อแม่มาใส่รถ พวกเราร่ำลากันตรงนั้นแล้วก็ต่างคนต่างออกรถไป.....


เราตั้งใจกันว่า จะกลับมาที่ Ste. Genevieve อีกครั้งอาจเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะยังมีสถานที่ ๆ น่าสนใจที่เรายังไป คือ Ste Geneviève Wine Country แหล่งปลูกองุ่นและผลิตและบ่มไวน์ ประมาณ 10 แห่ง ที่ให้บริการจัดงานปาร์ตี้ งานแต่งงานนอกสถานที่ และผู้คนสามารถไปหิ้วตะกร้าไปปิกนิคและเยี่ยมชมไร่องุ่น ดูการผลิตและบ่มไวน์ ซึ่งบางแห่งให้บริการที่พักค้างคืนด้วย...คือว่า อยากพักค้างคืนในไร่องุ่น เย็น ๆ ดูตะวันตกดิน มื้อค่ำจิบไวน์กินอาหารแปลก ๆ (ที่คนอื่นทำ) แดนซ์กับสามีสักสองสามเพลงก่อนไปนอน ตื่นเช้ากินเบรคฟาสต์ (ที่คนอื่นทำ) พร้อมชมทิวทัศน์ทุ่งไวน์....สวรรค์อยู่ไม่ไกล!!!
ขากลับเรามีความสุขสำราญกับการกินไอศกรีมถ้วยยักษ์ กินหมดโดยไม่รู้ตัว ปรากฏว่าเย็นนั้นไม่รู้สึกหิว จึงลืมเรื่องอาหารมื้อเย็นไปเลย อิ่มมาถึงเช้าของอีกวัน....ไม่รู้รับไปกี่แคลอรี่!!!!

0 ความคิดเห็น :

Post a Comment